ติดต่อลงโฆษณา [email protected]

แสดงกระทู้

ส่วนนี้จะช่วยให้คุณสามารถดูกระทู้ทั้งหมดสมาชิกนี้ โปรดทราบว่าคุณสามารถเห็นเฉพาะกระทู้ในพื้นที่ที่คุณเข้าถึงในขณะนี้


แสดงหัวข้อ - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 9
1
คอนโดติดรถไฟฟ้า สุชารี ไลฟ์ 2 (Sucharee Life 2)
N/A

สุชารี ไลฟ์ 2 (Sucharee Life 2)
จำนวนห้องมีเพียง 100 ยูนิต เน้นความเป็นส่วนตัวและฟังก์ชั่นที่ลงตัวตกแต่งแบบ Fully Furnished และ Facilities แบบจัดเต็ม พร้อมทั้งการเดินทางสะดวกสบายใกล้รถไฟฟ้าสาย สีแดงเพียง 650 เมตรและชมพู (อนาคต)

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ               สุชารี ไลฟ์ 2 (Sucharee Life 2)
 เจ้าของโครงการ          สุชาต์ธนกิจ
 ราคา                       N/A
โครงการนี้มีอายุมากกว่า 3 ปี โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการอีกครั้ง

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล               คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด             Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ขนาดห้องที่มี            ตั้งแต่ 28.00 ถึง 56.10 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด             3 งาน 52 ตร.ว.
 จำนวนตึก                1 อาคาร
 จำนวนชั้น                8 ชั้น
 จำนวนห้อง             100 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด       ประมาณ 40%
 ค่าบำรุงส่วนกลาง      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค         สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, สวนหย่อม

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน         แจ้งวัฒนะ, หลักสี่, ดอนเมือง, บางเขน
 ที่ตั้ง         ถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 10 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:       ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีชมพู, สถานี(แคราย - มีนบุรี)(ไม่ระบุ)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ไอทีสแควร์
เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ
บิ๊กซี แจ้งวัฒนะ
เทสโก้ โลตัส แจ้งวัฒนะ
โรงเรียนนานาชาติฮาโรว์
โรงเรียนเซนต์ฟรังซิสเซเวียร์
โรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ
อิมแพค เมืองทองธานี
สนามบินดอนเมือง

2
รถยนต์ใหม่ 2025: บีเอ็มดับเบิลยู BMW X1 sDrive20i xLine ปี 2024
2,519,000 บาท 

บีเอ็มดับเบิลยู BMW X1 sDrive20i xLine ปี 2024
BMW X1 sDrive20i xLine ผสานพลังแห่งการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี TwinPower Turbo 204 แรงม้า พร้อมแรงบิด 300 นิวตันเมตร (ราคาขายรวม BSI STANDARD Package)

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ
2,099,000.-
2,639,000 บาท

BMW X1 sDrive20i Xline
5,300 Km
รถทดลองขับ
ดูสเปครุ่นปัจจุบัน

มานะชัย หอมเกษร (หนึ่ง)
0988974694
สอบถาม

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 10 ก.พ. - 28 ก.พ. 2568
โปรโมชั่นฟรีดาวน์
ขอใบเสนอราคา
รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์              BMW
   รุ่น                   บีเอ็มดับเบิลยู BMW X1 sDrive20i xLine ปี 2024
   ประเภทรถ         รถสปอร์ตอเนกประสงค์ SAV, รถไฮบริด
   ปีที่เปิดตัว          2024
   ราคา                  2,519,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
อุปกรณ์ชุดแต่ง (ชุดแต่ง Satin Aluminium, xLine)
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว
กระจกกรองแสง
ไฟตัดหมอก (หน้า-หลัง)
ไฟหน้าส่องสว่างอัตโนมัติ (เปิด-ปิด อัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-me-home)
ปัดน้ำฝนกระจกหลัง
ไฟท้าย LED
ขนาดยางหน้า-หลัง (ยาง 225/55 R18)
ราวหลังคา (Aluminium Satinated)
อุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ (กระจกมองข้างตัดแสง)
ยางอะไหล่สำรอง
ไฟหน้า LED
หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ (เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า)
ล้ออัลลอย (ล้อ aerodynamic ขนาด 18 นิ้วแบบสลับสี)

   ภายใน
เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้
ระบบจดจำปรับที่นั่งคนขับ
ระบบนำทาง (Navigator) (รุ่น Plus)
ตกแต่งภายใน (ภายในตกแต่งด้วยไม้ลาย Eucalyptus แบบด้าน)
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์
พวงมาลัยหุ้มหนัง
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้
กระจกมองหลังตัดแสง
ม่านบังแดด
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (ระบบสั่งงานด้วยเสียง)
อุปกรณ์วัดความเร็วสะท้อนกระจก Head Up Display

สเปค
   เครื่องยนต์
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo กำลังสูงสุด 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 300 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 7.6 วินาที ด้วยความเร็วสูงสุด 236 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบผสม 15.9 กิโลเมตร/ลิตร ระดับการปล่อย CO2 แบบผสม 147 กรัม/กิโลเมตร

   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)              1,998 CC
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)           204 แรงม้า
   ระบบเกียร์                               เกียร์ออโต้ 7AT
   รูปแบบเกียร์                             พร้อม Steptronic พร้อมคลัตช์คู่
   ระบบเบรค ABS                     มี (พร้อมระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC) และระบบช่วยเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติ)
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง               เบนซิน 95, เบนซิน 91
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)                N/A
   ระบบจ่ายน้ำมัน                        Electronics Injection
   น้ำหนักตัวรถ                           1,625 กก.
   ประเภทยางรถยนต์                     ธรรมดา
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                        ล้ออัลลอย (ล้อ aerodynamic ขนาด 18 นิ้วแบบสลับสี)
   ระบบขับเคลื่อน                     ขับเคลื่อนล้อหน้า (xDrive)

ระบบความปลอดภัย
  อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
ตัวถังนิรภัย
ดิสก์เบรก 4 ล้อ
เซ็นทรัลล็อค
สัญญาณกันขโมย
กุญแจรีโมท
กุญแจนิรภัย
ไฟเบรกดวงที่ 3 (แบบ LED)
ระบบปรับระยะส่องไฟหน้า
ระบบป้องกันสำหรับกระจกไฟฟ้า
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Active Safety เช่น กรณียางรถเกิดการระเบิดระบบยาง Run flat จะช่วยให้ขับขี่ไปต่อได้ถึงอีก 250 กม.)
รีโมทคอนโทรล
ระบบป้องกันการโจรกรรม
ระบบปลดล็อครถอัตโนมัติกรณีอุบัติเหตุ
หลอดไฟพิเศษระบบ Daytime Running Lights(DRL) (แบบ LED)
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน , ระบบเซ็นเซอร์ตัดการส่งจ่ายน้ำมันเมื่อเกิดการชน, ระบบควบคุมเสถียรภาพแบบไดนามิก (DSC และ DTC), ชุดปะยางฉุกเฉิน)
เข็มขัดนิรภัย
พวงมาลัยยุบตัวได้
กระจกนิรภัย
คานเหล็กเสริมนิรภัย
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน
อื่นๆ (ระบบควบคุุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC), ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC), ระบบควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน (DBC), ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS), ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Attentiveness Assistant), ระบบสร้างเสียงจำลอง เตือนผู้ใช้ถนนรอบข้าง)
ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Plus (Parking Assistant Plus))
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก
เซ็นเซอร์ตรวจจับการชน (Crash Sensor)
ระบบเตือนแรงดันลมยาง

3
การตรวจฟันในเด็กเล็กก่อนเข้ารับการจัดฟันเด็ก

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกน้อย ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะที่เอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ สุขภาพฟันถือว่าเป็นสุขอนามัยเบื้องต้น ที่เด็กจะต้องรักษาความสะอาดให้ดี เพราะถ้าหากเกิดฟันผุแล้ว คงไม่ดีต่อตัวเด็กแน่ๆ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาเด็กไปพบทันตแพทย์ ก่อนที่ฟันน้ำนมจะขึ้นครบทั้งยี่สิบซี่ หรือเด็กมีอายุระหว่าง 2-3 ขวบ เมื่อไปพบทันตแพทย์ครั้งแรกนั้น ทันตแพทย์จะพุดคุยกับเด็กก่อน เพื่อสร้างความสนิทสนม สร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน จากนั้นก็จะแนะนำเครื่องมือในการทำฟันต่างๆให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคยและไม่กลัว


จากนั้นจึงจะตรวจฟันเด็ก และให้คำแนะนำกับผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีรักษาความสะอาดฟันของเด็ก ตลอดจนอาหารที่ควรรับประทานและการใช้ฟลูออไรด์ ควรพาไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง นี่ถือว่าเป็นการเข้ารับการตรวจฟันทันตแพทย์ในเบื้องต้น เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้แนะนำแนวทางในการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันให้เด็ก เพื่อสร้างความเข้าใจให้เด็กได้รับรู้ถึงความสำคัญของสุขภาพฟัน แต่สำหรับเด็กที่มีปัญหาในเรื่องของฟันนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แต่หลายคนอจจะกังวลและไม่ทราบว่า จะต้องพูดให้เด็กทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาจึงอาจจะรู้สึกหนักใจ วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของการพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจฟันก่อนเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เป็นแนวทางในการเตรียมตัวและปฏิบัติตัวก่อนพาบุตรหลานขรับการจัดฟันในเด็กกับทันตแพทย์จัดฟัน


ก่อนที่เราจะมาพูดถึงเรื่องของการพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจฟันก่อนเข้ารับการจัดฟัน ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องฟันน้ำนมของเด็กก่อน เพราะเนื่องจากพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนยังคิดว่า ฟันน้ำนมของเด็กนั้นไม่สำคัญ คิดว่าถ้าถอนทิ้งก็คงไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวก็มีฟันแท้ขึ้นมาแทน ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะฟันน้ำนมมีบทบาทสำคัญมาก ต่อลักษณะการขึ้นของฟันแท้โดยตรงและถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะถาฟันน้ำนมของเด็กหลุดก่อนวัยอันควร ก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดภาวะฟันแท้หายได้เลย ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายและส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพฟันด้วย ดังนั้น เด็กในวัยประถมที่ยังมีฟันน้ำนมก็สามารถจัดฟันได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น หลายปัญหาอาจสามารถหลีกเลี่ยง หรือลดความรุนแรงได้


หากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สำหรับ การตรวจฟันในเด็กก่อนที่จะเข้ารับการจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองคงจะต้องสร้างทัศนคติที่ดี พูดให้เด็กเข้าใจถึงผลลัพธ์ของการมีสุขภาพฟันที่ดี เพื่อลดความกังวลในเด็กเมื่อต้องเข้าพทันตแพทย์ การพาเด็กไปพบทันตแพทย์มีส่วนช่วยป้องกันฟันผุให้เด็กได้ โดยที่เด็กจะได้ประโยชน์จากการตรวจสภาพช่องปาก และจะทำให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมต่อการดูแลฟันเด็กในแต่ละคน ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะได้เรียนรู้ หรือฝึกการแปรงฟันให้เด็กได้ และยังมีส่วนช่วยให้เด็กเกิดความคุ้นเคยกับทันตแพทย์และให้ความร่วมมือที่ดีต่อการรักษาฟันต่อไป เมื่อถึงเวลาที่เข้ารับการจัดฟัน เด็กจะได้มีความคุ้นชินและลดคาวมกังวลลงได้นั่นเอง

สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถพาเด็กเข้ามาตรวจกับทันตแพทย์ของทางคลินิกได้เลย เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมที่จะคอยให้คำปรึกษาในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาด พร้อมกับช่วยสร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพฟันให้เด็กได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสุขอนามัยในช่องปาก เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนมีรรอยิ้มที่สดใส มีพัฒนาการที่ดี สสามารถใช้ชีวิตประจำวัน ทำกิจกรรมในแต่ละวันได้อย่างเต็มที่และมีความสุข

4
บริการด้านอาหาร: น้ำผลไม้ ดีต่อสุขภาพจริงหรือ ?

หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า การรับประทานผักและผลไม้นั้น ดีต่อสุขภาพร่างกายของเรา เพราะอุดมไปด้วยวิตามินต่างๆที่ดีต่อร่างกาย แต่ก็มีหลายคนที่อาจจะไม่ได้ชื่นชอบการรับประทานผลไม้ แต่จะหันไปดื่มน้ำผลไม้แทน เพราะรู้สึกให้สดชื่นมากกว่า ถือว่า “น้ำผลไม้” เป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มที่หลายๆ คนมักมองว่าดีต่อสุขภาพ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากผลไม้ ที่ถือว่าเป็นอาหารสุขภาพ แต่น้ำผลไม้นั้น จริง ๆ แล้วดีต่อสุขภาพอย่างที่หลาย ๆ คนคิดหรือเปล่า

เพราะแน่นอนว่า หากเราไม่ได้ทำน้ำผลไม้เอง หรือเลือกซื้อน้ำผลไม้ที่ขายตลาดท้องตลาด หากไม่ใช่น้ำผลไม้ที่ทำมาจากผลไม้ 100 % ก็จะต้องมีส่วนผสมของน้ำตาล ซึ่งถ้าหากเราดื่มน้ำผลไม้ที่ผสมน้ำตาล ก็อาจจะทำให้เราเสี่ยงที่เกิดโรคเบาหวานได้เช่นกัน ในขณะที่หลายคนเชื่อว่า น้ำผลไม้จริงๆ แล้วไม่ได้ดีต่อสุขภาพเพราะมันมีปริมาณน้ำตาลธรรมชาติที่เรียกว่า ฟรุกโตส ในปริมาณที่สูง แต่ในน้ำผลไม้ก็ยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเหมือนกัน ซึ่งทำให้หลายคนที่ชื่นชอบในการดื่มน้ำผลไม้นั้น อาจจะลังเลว่า ความจริงแล้ว น้ำผลไม้นั้น ดีต่อสุขภาพของเราจริงหรือไม่ วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของน้ำผลไม้ว่า แท้จริงแล้วมีประโยชน์หรือไม่ หรือจะต้องดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์ เพื่อเป็นแนวทางกับคนที่ชื่นชอบได้ดื่มอย่างถูกวิธีเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

คนส่วนใหญ่ที่ดื่มน้ำผลไม้ เพราะชื่นชอบในรสชาติหวานหอมชื่นใจ ทั้งยังเชื่อกันว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นเดียวกับการกินผลไม้ทั้งลูก ทว่าน้ำผลไม้อาจไม่ใช่เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพอย่างที่คิดเสมอไป เพราะอาจมีน้ำตาลปริมาณมากพอ ๆ กับน้ำอัดลม และหากดื่มมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ด้วย สำหรับผู้ที่ไม่ชอบรับประทานผักและผลไม้ การดื่มน้ำผักผลไม้อาจช่วยให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดทดแทนได้เช่นกัน โดยเฉพาะวิตามินซี อย่างไรก็ตาม การรับประทานผลไม้ทั้งลูกก็ให้คุณประโยชน์มากกว่า เพราะน้ำผลไม้มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยกว่าเนื้อผลไม้ แต่ยังมีแคลอรี่สูงกว่า เนื่องจากการทำน้ำผลไม้นั้นต้องใช้ผลไม้จำนวนมาก ทั้งยังไม่ช่วยให้รู้สึกอิ่มเหมือนการกินผลไม้ที่ให้กากใยอาหาร ผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้จึงมีแนวโน้มได้รับแคลอรี่สูงกว่าผู้ที่กินผลไม้ทั้งลูก

นอกจากนี้ น้ำผลไม้ยังมีน้ำตาลสูง ซึ่งการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในปริมาณมากจะส่งผลให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้แต่ผู้ที่มีสุขภาพดีก็อาจเสี่ยงเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วนได้ ส่วนผู้ป่วยโรคเบาหวานก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้เพื่อป้องกันอาการกำเริบ รวมไปถึง การดื่มน้ำผลไม้ ยังให้กากใยอาหารต่ำ เมื่อเทียบกับการรับประทานผลไม้สด และหากเป็นน้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการแปรรูปหลายขั้นตอนก็อาจไม่หลงเหลือกากใยอาหารอยู่เลย แต่หากอยากจะดื่มน้ำผลไม้ ควรดื่มน้ำผลไม้คั้นสด แต่ต้องคั้นโดยไม่ผ่านความร้อน เพื่อไม่ให้สูญเสียคุณค่าทางสารอาหาร ซึ่งน้ำผลไม้ที่ผ่านกรรมวิธีนี้จะคงความสดและแร่ธาตุวิตามินต่าง ๆ ได้มากกว่า และต้องมั่นใจด้วยว่า ไม่มีการเติมน้ำตาล สารให้ความหวาน หรือสารเติมแต่งกลิ่นรสใด ๆ

เพื่อให้ได้คุณค่าทางสารอาหารมากที่สุด ทั้งนี้ การเลือกดื่มน้ำผลไม้ที่ปั่นแบบไม่แยกกากจะให้คุณค่าทางสารอาหารและมีกากใยมากกว่า ทั้งยังทำให้รู้สึกอิ่มด้วย ในขณะที่น้ำผลไม้คั้นแยกกากนั้นไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอิ่ม จึงทำให้ต้องรับประทานอาหารอื่น ๆ เพิ่ม ส่งผลให้ได้รับแคลอรี่สูงขึ้นในแต่ละวัน นอกจากนี้ หลังจากคั้นหรือปั่นก็ควรดื่มให้หมดภายในครั้งเดียว เพราะหากปล่อยไว้ แบคทีเรียจะค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้น ส่งผลให้มีอาการท้องไส้ปั่นป่วนหรือถ่ายท้องตามมาได้

สิ่งที่สำคัญในการรับประทานอาหารให้ได้ประโยชน์สูงสุด ก็คือ เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่ ทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บด้วย

5
ออล นิว ไทรทัน: Mitsubishi L200 Triton Savana 2023 กระบบออฟโรดสายลุย ในบราซิล

Mitsubishi L200 Triton Savana 2023 รถกระบะสายลุยในบราซิล ขุมพลังดีเซล 2.4 ลิตร 190 แรงม้า กับราคาค่าที่สูงถึง 309,990 เรอัลบราซิล หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 2.2 ล้านบาท

ในชั่วโมงนี้ถ้าเป็นข่าวของในแวดวงรถกระบะ หรือรถปิกอัพขนาด 1 ตัน ของไม่มีข่าวไหนที่น่าสนใจเท่ากับการมาของ All-New Mitsubishi Triton (ออล-นิว ไทรทัน) เจอเนเรชั่นที่ 6 ที่จะได้รับเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกของโลกที่ในประเทศไทย ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2023 ที่จะถึงนี้

แต่ในขณะที่อีกฝากฝั่งหนึ่งของมุมโลกอย่างในประเทศบราซิล ทางมิตซูบิชิบราซิล กลับยังคงเปิดตัวรถกระบะ Mitsubishi Triton ในโฉมปัจจุบัน แต่เพิ่มเติมความพิเศษด้วยชุดแต่งออฟโรดที่เอาใจสายลุยชาวแซมบา บราซิลโดยเฉพาะ โดยทาง Mitsubishi Brazil ตั้งชื่อในทางการตลาดของระกระบะคันนี้ว่า Mitsubishi L200 Triton Savana 2023

Mitsubishi L200 Triton Savana 2023 ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากในรุ่น L200 Triton Sport โดยได้รับการอัปเกรดใหม่ ด้วยชุดแต่งออฟโรดรอบคัน เริ่มจาก ติดตั้งสนอร์เกิลเคลือบกราไฟท์ที่สามารถลุยน้ำลึกได้ 70 ซม. แบบสบาย ๆ พร้อมติดตั้งบันไดข้างทรงกลมสีดำในสไตล์รถออฟโรดสายลุย ในขณะที่ชุดกันชนหน้าปรับเปลี่ยนมาในโทนสีดำทั้งหมด โดยทั้งหมดถูกเคลือบด้วยวัสดุกันรอยที่เรียกว่า X-liner

ด้านบนหลังคาติดตั้งแร็คหลังคาเหล็กที่รับน้ำหนักได้มากถึง 50 กม. ส่วนกระบะท้ายติดตั้ง Liner ที่ป้องกันรอยขีดข่วน มาพร้อมกล่องใส่ที่ยึดติดกับตัวกระบะท้ายที่ช่วยไม่ให้ของเคลื่อนที่ไปมาระหว่างการเดินทาง เสริมความดิบดุ ด้วยล้อกระทะเหล็กขนาด 17 นิ้ว รัดด้วยยาง GoodYear off-road Duratrack ขนาด 265/60

ปิดท้ายที่บ่งบอกว่าเป็นรุ่นพิเศษด้วยป้ายรุ่นรุ่น Savana ทีjด้านท้ายกระบะ ส่วนที่ฝากระท้ายติดชื่อรุ่น L200 Triton และชื่อ Savana ไว้คนมุมด้านท้าย

สำหรับเฉดสีของ Mitsubishi L200 Triton Savana 2023 จะมีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีเหลือง Rally Yellow ,สีเขียว  Forest Green, สีครีม Jizan Beige และสีขาว Fuji White

สำหรับภายในห้องโดยสารถึงแม้จะเป็นรถสานยลุยด้านชุดอุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกนั้น ยยังคงมีมาให้แบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบปรับอากาศที่มาในแบบแบบแมนนวล, เบาะคนขับปรับความสูงได้, เบาะที่นั่งหุ้มด้วยหนัง, ช่องเสียบไฟ 12V, พวงมาลัยระดับได้ทั้งสูง – ต่ำ และเข้า – ออก รวมทั้งยังมาพร้อมกับกระจกปรับด้วยไฟฟ้า

แผงแดชบอร์ดมาพร้อมกับหน้าจออินโฟเทนเมนต์แบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay รวมทั้งช่องเสียบ USB และระบบบลูทูธ ระบบเครื่องเสียงจาก JBL นอกจากนั้นยังเพิ่มความพิเศษด้วยการติดป้ายชื่อ ‘Savana‘ ไว้ที่บนแดชบอร์ดฝั่งผู้โดยสาร

สำหรับอุปกรณ์ความปลอดภัยจะได้รับ เซ็นเซอร์ช่วยจอดด้านหลัง, ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง, ระบบควบคุมการทรงตัวและการยึดเกาะถนน, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบล็อกเฟืองท้าย และระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน

ด้านพละกำลังยังคงมากับขุมพลังเบล๊อกเดียวกับ Triton Sport รุ่นอื่นๆ ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 เทอร์โบ ที่ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่ได้รับการปรับเซทใหม่ โดยในเกียร์แรกจะสั้นลง 12% ขณะที่เกียร์ 6 ยาวขึ้น มาพร้อมระบบขับเคลื่อน แบบ Super Select 4WD-II (SS4-II)

ด้านราคาจำหน่ายของ Mitsubishi L200 Triton Savana 2023 ทางมิตซูบิชิ ในบราซิลตั้งราคาไว้ที่ 309,990 เรอัลบราซิล หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 2.2 ล้านบาท เลยทีเดียว

ขณะที่ในเมืองไทยนั้นในโฉมนี้คงต้องโบกมือลากันไปเสียแล้ว เพราะ Mitsubishi Triton รุ่นใหม่ เจเนอเรชันที่ 6 กำลังจะได้รับการเปิดตัวในบ้านเรา

6
Doctor At Home: ไมเกรน (Migraine)

ไมเกรน (โรคปวดหัวข้างเดียว ลมตะกัง ก็เรียก) พบได้ประมาณร้อยละ 10-15 ของประชากรทั่วไป พบได้ในคนทุกวัย แต่พบมากในช่วงอายุ 10-30 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 3.5 เท่า

โรคนี้มักเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังเป็นแรมปี เริ่มเป็นครั้งแรกตอนย่างเข้าวัยรุ่น หรือระยะหนุ่มสาว โดยเฉพาะผู้ป่วยหญิงมักเป็นโรคนี้ตอนเริ่มมีประจำเดือน บางรายเริ่มเป็นโรคนี้ตั้งแต่เด็ก ซึ่งมักมีอาการปวดท้อง เมารถเมาเรือด้วย มีน้อยรายที่จะมีอาการเป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ผู้หญิงที่เคยเป็นไมเกรนมาก่อนเมื่อถึงวัยใกล้หมดประจำเดือน (40-50 ปี) อาจมีอาการปวดศีรษะบ่อยขึ้น บางรายอาจทุเลาหรือหายไปเองเมื่ออายุมากกว่า 50-60 ปีขึ้นไป แต่บางรายอาจเป็นตลอดชีวิต

ไมเกรนจัดว่าเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่สร้างความรำคาญน่าทรมาน และทำให้เสียการเสียงาน

โรคนี้เกิดได้กับคนทุกระดับ ไม่เกี่ยวกับฐานะทางสังคมหรือระดับสติปัญญา แต่ผู้ป่วยที่มีฐานะดีหรือมีการศึกษาดีมักจะปรึกษาแพทย์บ่อยกว่า ผู้ที่เป็นโรคนี้อยู่เป็นประจำ มักเป็นคนประเภทเจ้าระเบียบ จู้จี้จุกจิก

โรคนี้ชาวบ้านเรียกว่า ลมตะกัง

สาเหตุ

โรคนี้สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ (พบว่าประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ป่วยไมเกรน มีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย) และมักมีสาเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบในแต่ละครั้ง

ส่วนกลไกการเกิดอาการของโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่ามีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงในการทำงานของสมอง ทั้งในส่วนเปลือกสมอง (cortex) และก้านสมอง (brain stem) ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ได้แก่ ซีโรโทนิน (serotonin พบว่ามีปริมาณลดลงขณะที่มีอาการกำเริบ) โดพามีน (dopamine) และสารเคมีกลุ่มอื่น ๆ ส่งผลให้เกิดการอักเสบของเส้นใยประสาทสมองเส้นที่ 5 (trigeminal nerve fiber ที่เลี้ยงบริเวณใบหน้าและศีรษะ) รวมทั้งการอักเสบร่วมกับการหดและขยายตัวของหลอดเลือดแดงทั้งในและนอกกะโหลกศีรษะ ทำให้เปลือกสมอง (cortex) มีเลือดไปเลี้ยงน้อยลง กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะและอาการร่วมต่าง ๆ ขึ้นมา

สาเหตุกระตุ้น

ผู้ป่วยมักบอกได้ว่า มีสาเหตุต่าง ๆ ที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ ซึ่งแต่ละคนอาจมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป แต่มักจะมีได้หลาย ๆ อย่าง ได้แก่

1. สิ่งกระตุ้นทางตา อาทิ

    มีแสงสว่างจ้าเข้าตา เช่น ออกกลางแดดจ้า ๆ แสงจ้า แสงไฟกะพริบ แสงสีระยิบระยับในโรงมหรสพหรือสถานเริงรมย์ เป็นต้น
    การใช้สายตาเพ่งดูอะไรนาน ๆ เช่น ดูภาพยนตร์ หนังสือ จอคอมพิวเตอร์ หรือกล้องจุลทรรศน์ เย็บปักถักร้อย เป็นต้น

2. กระตุ้นทางหู อาทิ

    การอยู่ในที่ที่มีเสียงดังจอแจ เช่น ตลาดนัด หรือเสียงอึกทึก (เช่น เสียงกลอง เสียงระฆัง)

3. สิ่งกระตุ้นทางจมูก อาทิ

    การสูดดมกลิ่นฉุน ๆ เช่น กลิ่นน้ำมันรถ กลิ่นสีหรือทินเนอร์ กลิ่นสารเคมี หรือยาฆ่าแมลง ควันบุหรี่ กลิ่นน้ำหอมหรือดอกไม้ เป็นต้น

4. สิ่งกระตุ้นทางลิ้น (อาหารและยา) อาทิ

    การดื่มกาแฟมาก ๆ ก็อาจกระตุ้นให้ปวดได้ (แต่บางคนดื่มกาแฟแล้วอาการทุเลา หรือขาดกาแฟกลับทำให้ปวดไมเกรน)
    เหล้า เบียร์ เหล้าองุ่นแดง (red wine) ถั่วต่าง ๆ กล้วย นมเปรี้ยว เนยแข็ง ช็อกโกแลต ตับไก่ ไส้กรอก อาหารทะเล อาหารทอดน้ำมัน อาหารหมักดองหรือรมควัน ผงชูรส น้ำตาลเทียม (aspartame) สารกันบูด ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว (เช่น ส้ม มะนาว) หอม กระเทียม ล้วนกระตุ้นทำให้ปวดได้
    ยานอนหลับ ยาขยายหลอดเลือด (เช่น ไนโตรกลีเซอรีน) ยาลดความดัน (เช่น ไฮดราลาซีน รีเซอร์พีน) ยาขับปัสสาวะ

5. สิ่งกระตุ้นทางกาย (กายภาพ) อาทิ

    การอยู่ในที่ร้อนหรือเย็นเกินไป เช่น อากาศร้อนหรือหนาวจัด ห้องที่อบอ้าว ห้องปรับอากาศเย็นจัด อากาศเปลี่ยนแปลง เป็นต้น
    การอดนอน (นอนไม่พอ) หรือนอนมากเกินไป การนอนตื่นสาย (เช่น ในวันหยุดสุดสัปดาห์)
    การอดข้าว กินข้าวผิดเวลา หรือกินอิ่มจัด เชื่อว่าเกี่ยวกับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) ซึ่งกระตุ้นให้ปวดศีรษะได้ บางครั้งพบว่าผู้ป่วยไมเกรนเมื่อเป็นโรคเบาหวาน (มีน้ำตาลในเลือดสูง) อาการปวดจะหายไป
    การนั่งรถ นั่งเรือ หรือนั่งเครื่องบิน
    การเปลี่ยนแปลงของระดับความสูงหรือความดันบรรยากาศ
    อาการเจ็บปวดตามส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
    การเป็นไข้ เช่น ตัวร้อนจากไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่
    การออกกำลังกายจนเหนื่อยเกินไป รวมทั้งการร่วมเพศ
    ร่างกายเหนื่อยล้า
    การถูกกระแทกแรง ๆ ที่ศีรษะ (เช่น การใช้ศีรษะโหม่งฟุตบอล) ก็อาจทำให้ปวดศีรษะทันที
    อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ สำหรับผู้ป่วยหญิงมีผลต่อการเกิดอาการไมเกรนอย่างมาก เช่น บางรายมีอาการปวดเฉพาะเวลาใกล้จะมีหรือขณะมีประจำเดือน บางรายในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ก็อาจทำให้อาการกำเริบมากขึ้น เมื่อเลยระยะ 3 เดือนไปแล้ว อาการมักจะหายไปจนกระทั่งหลังคลอด (ในระยะ 6 เดือนหลังของการตั้งครรภ์มักมีฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนสูง) บางรายกินยาเม็ดคุมกำเนิด (มีฮอร์โมนเอสโทรเจน) ทำให้ปวดบ่อยขึ้น พอหยุดกินยาก็ดีขึ้น หรือฉีดยาคุมกำเนิดอาการมักจะทุเลา

6. สิ่งกระตุ้นทางใจ (อารมณ์) อาทิ

    ความเครียดทางอารมณ์ คิดมาก อารมณ์ขุ่นมัว ตื่นเต้น ตกใจ

สาเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรน

อาการ

มักมีอาการกำเริบเป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดแบบตุบ ๆ (เข้ากับจังหวะการเต้นของหัวใจ) ที่บริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่ง อาจปวดสลับข้างในแต่ละครั้ง ส่วนน้อยจะปวดพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง บางรายอาจมีอาการปวดที่รอบ ๆ กระบอกตาร่วมด้วย แต่ละครั้งมักจะปวดนาน 4-72 ชั่วโมง และจะปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือสัมผัสถูกแสง เสียง หรือกลิ่น มักปวดรุนแรงปานกลางถึงมากจนเป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน ผู้ป่วยมักมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย และบางรายอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย (หลังอาเจียนอาการปวดจะค่อย ๆ ทุเลาไปเอง) ผู้ป่วยมักมีอาการกลัว (ไม่ชอบ) แสงหรือเสียงร่วมด้วย ชอบอยู่ในห้องที่มืดและเงียบ นอกจากนี้ยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตาพร่ามัว คัดจมูก ท้องเดิน ปัสสาวะออกมาก ซีด เหงื่อออก บวมที่หนังศีรษะหรือใบหน้า เจ็บหนังศีรษะ มีเส้นพองที่ขมับ ขาดสมาธิ อารมณ์แปรปรวน รู้สึกศีรษะโหวง ๆ รู้สึกจะเป็นลม แขนขาเย็น เป็นต้น

บางรายอาจมีอาการเวียนศีรษะ หรือบ้านหมุน โดยอาจมีหรือไม่มีอาการปวดศีรษะร่วมด้วยก็ได้*

บางรายก่อนมีอาการปวดศีรษะ อาจมีสัญญาณบอกเหตุ (aura)** ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาการผิดปกติเกี่ยวกับสายตา เช่น เห็นแสงวอบแวบหรือระยิบระยับ เห็นเป็นเส้นหยัก ภาพเบี้ยว ภาพเล็กหรือใหญ่เกินจริง หรือเห็นดวงมืดในลานสายตา ซึ่งจะค่อย ๆ เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงเวลา 5-20 นาที และมักจะเป็นอยู่นานไม่เกิน 60 นาที

ส่วนน้อยอาจมีสัญญาณบอกเหตุในลักษณะอื่น ๆ เช่น มีความรู้สึกสัมผัสเพี้ยน (รู้สึกเสียวแปลบ ๆ เหมือนถูกเข็ม หรือเหมือนมีตัวอะไรไต่) ที่มือและแขน รอบปากและจมูกข้างใดข้างหนึ่ง ชาที่ใบหน้าและแขนขา มีความรู้สึกไวต่อการสัมผัส พูดไม่ได้หรือพูดลำบาก บ้านหมุน มีเสียงหลอนหรือกลิ่นหลอน เห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง*** อาการเหล่านี้มักเป็นเพียงชั่วขณะแล้วทุเลาไปได้เอง

อาการปวดศีรษะ มักเกิดขึ้นภายใน 60 นาที (บางครั้งหลายชั่วโมง) หลังสัญญาณบอกเหตุทุเลาลงแล้ว

บางรายสัญญาณบอกเหตุอาจเป็นต่อเนื่อง แม้ภายหลังมีอาการปวดศีรษะเกิดขึ้นแล้ว

บางรายอาจมีสัญญาณบอกเหตุโดยไม่มีอาการปวดตุบ ๆ แบบไมเกรนตามมา หรือมีอาการปวดศีรษะในลักษณะแตกต่างจากไมเกรน (เช่น ปวดมึน ปวดตื้อ) ตามมาก็ได้

นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการผิดปกติล่วงหน้าหรือตามหลังระยะปวดไมเกรน

อาการผิดปกติล่วงหน้า (prodome) อาจเกิดก่อนปวดศีรษะเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ เช่น อารมณ์แปรปรวน (หงุดหงิด ซึมเศร้า หรือครึ้มใจ) อ่อนเพลีย หาวบ่อย ง่วงนอนมาก รู้สึกอยากอาหารบางชนิด (เช่น ช็อกโกแลต ของหวาน) กล้ามเนื้อตึง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่คอ) ท้องผูกหรือท้องเดิน ปัสสาวะออกมาก

ส่วนอาการผิดปกติที่อาจพบภายหลังหายปวดศีรษะแล้ว (postdome) เช่น อ่อนเพลีย หงุดหงิด เฉยเมย ขาดสมาธิ เจ็บหนังศีรษะ อารมณ์แปรปรวน รู้สึกศีรษะโหวง ๆ กลัวแสง เบื่ออาหาร เป็นต้น

ในเด็กมักมีอาการคล้ายดังกล่าวข้างต้น แต่มักจะปวดขมับพร้อมกัน 2 ข้าง และปวดนานน้อยกว่าผู้ใหญ่ (นานประมาณ 1-48 ชั่วโมง) ไม่ค่อยมีสัญญาณบอกเหตุทางตา (อาการผิดปกติทางสายตา) แต่มักมีอาการผิดปกติล่วงหน้า เช่น หาวบ่อย ง่วงนานมากหรือเฉยเมย มีความรู้สึกอยากอาหารบางชนิด (เช่น ช็อกโกแลต ของหวาน นมเปรี้ยว กล้วย)

เด็กบางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง กลัวแสง กลัวเสียง โดยไม่มีอาการปวดศีรษะก็ได้ (เมื่อโตขึ้นก็จะมีอาการปวดศีรษะไมเกรน)
 

*ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเวียนศีรษะ หรือบ้านหมุนเป็นสำคัญ ซึ่งมักเป็นอยู่นานเป็น 5 นาทีจนถึง 72 ชั่วโมง โดยอาจมีอาการก่อนหรือหลัง หรือเป็นพร้อมกันกับอาการปวดศีรษะ หรืออาจไม่มีอาการปวดศีรษะเลยก็ได้ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีความรู้สึกโคลงเคลง เสียการทรงตัว สับสน หูตึงหรือได้ยินไม่ชัด หูอื้อหรือมีเสียงในหู หรือกลัวแสง กลัวเสียง (แสงเสียงจะกระตุ้นให้อาการกำเริบหนัก) ร่วมด้วย มักเกิดขึ้นเมื่อหันศีรษะเร็ว นั่งยานพาหนะหรือเครื่องเล่น อยู่ในฝูงชนแออัด สับสนอลหม่าน หรือดูสิ่งที่เคลื่อนไหว (เช่น รถแล่น คนเดิน) หรือภาพเคลื่อนไหว (ภาพยนตร์ โทรทัศน์) และอาจมีสาเหตุกระตุ้นอื่น ๆ แบบที่กระตุ้นให้มีอาการปวดศีรษะในผู้ป่วยไมเกรน ผู้ป่วยมักมีประวัติโรคไมเกรนในครอบครัว มีประวัติปวดศีรษะจากโรคไมเกรน หรือมีอาการเมารถเมาเรือบ่อย ๆ มาก่อน ไมเกรนชนิดนี้ เรียกว่า "ไมเกรนชนิดเวียนศีรษะ" ("vestibular migraine" "migraine- associated vertigo" "migrainous vertigo" หรือ "migraine-related vestibulopathy") สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากความผิดปกติเกี่ยวกับหูชั้นใน (ซึ่งทำหน้าที่ด้านการได้ยินและการทรงตัว) พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 5 เท่า มักพบในคนอายุราว ๆ 40 ปี แต่ก็อาจพบในคนอายุน้อยก็ได้

การรักษา ให้ยาบรรเทาตามอาการ อาทิ ยาแก้ปวด (เช่น พาราเซตามอล ไอบูโพรเฟน) ยาแก้เวียนศีรษะ บ้านหมุน (เช่น ไดเมนไฮดริเนต) ในรายที่เป็นบ่อยหรือกระทบต่อการดำเนินชีวิต แพทย์ก็จะให้ยาป้องกันแบบที่ใช้กับโรคไมเกรน

**ผู้ป่วยไมเกรนส่วนใหญ่ มักจะไม่มีสัญญาณบอกเหตุนำมาก่อน เรียกว่า ไมเกรนชนิดไม่มีสัญญาณบอกเหตุ (migraine without aura) เดิมเรียกว่า ไมเกรนชนิดสามัญ (common migraine) มีเพียงร้อยละ 20-30 ของผู้ป่วยไมเกรนที่จะมีสัญญาณบอกเหตุนำมาก่อน เรียกว่า ไมเกรนชนิดมีสัญญาณบอกเหตุ (migraine with aura) เดิมเรียกว่า ไมเกรนชนิดตรงต้นแบบ (classical migraine) ผู้ป่วยที่เคยมีสัญญาณบอกเหตุต่อไปอาจมีอาการปวดไมเกรนโดยไม่มีสัญญาณบอกเหตุก็ได้

***อาการแขนขาอ่อนแรงจะเป็นเพียงชั่วคราว และฟื้นหายเป็นปกติได้เอง เกิดจากสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วขณะ ซึ่งพบในผู้ที่เป็นไมเกรนชนิดที่พบได้น้อย ได้แก่
- ไมเกรนชนิดแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก (hemiplegic migraine) พบในเด็กและคนอายุต่ำกว่า 20 ปี มักมีประวัติโรคไมเกรนชนิดนี้ในครอบครัว เมื่อมีอาการกำเริบ จะมีอาการแขนและขาซีกหนึ่งอ่อนแรง อาจสลับข้างในการกำเริบแต่ละครั้ง อาการอาจเป็นอยู่นานประมาณ 5-60 นาที บางรายอาจนานถึง 24 ชั่วโมง และอาจมีอาการชา ตาพร่า เดินเซ ชัก หรือหมดสติร่วมด้วย
- ไมเกรนชนิดก้านสมองขาดเลือด (basilar migraine) พบบ่อยในหญิงวัยรุ่น เกิดจากก้านสมอง (brain stem) ขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วขณะ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดไมเกรน ร่วมกับอาการบ้านหมุน พูดลำบาก เห็นภาพซ้อน สับสน เป็นลม หมดสติ แขนขาอ่อนแรงทั้ง 4 ข้าง ซึ่งจะเป็นนานประมาณ 20-30 นาที บางรายอาจนานหลายวัน

ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่จะเป็น ๆ หาย ๆ เป็นช่วง ๆ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากอาจทำให้มีความวิตกกังวลหรือซึมเศร้า

บางรายอาจมีอาการปวดไมเกรนต่อเนื่อง (status migrainosus) คือปวดติดต่อกันนานเกิน 72 ชั่วโมง หรืออาจเป็นไมเกรนเรื้อรัง (chronic migraine) คือปวดมากกว่า 15 วัน/เดือน

โรคไมเกรนเรื้อรัง มักจะสัมพันธ์กับโรควิตกกังวล โรคแพนิก โรคอารมณ์แปรปรวนหรือซึมเศร้า มีภาวะเครียด หรือมีการใช้ยาแก้ปวดไมเกรนมากเกินไป (มากกว่า 2-3 ครั้ง/สัปดาห์)

มีน้อยรายมากที่อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองจากภาวะขาดเลือดแทรกซ้อน ซึ่งมักพบในผู้หญิงที่เป็นไมเกรนชนิดมีสัญญาณบอกเหตุ (aura) ที่มีประวัติสูบบุหรี่ และ/หรือกินยาเม็ดคุมกำเนิด

นอกจากนี้ ผู้ป่วยไมเกรนยังอาจมีภาวะอื่น ๆ ร่วมด้วยมากกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นไมเกรน เช่น โรคลมชัก ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติจากกรรมพันธุ์ โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคลำไส้แปรปรวน ความดันโลหิตสูง โรคสั่นไม่ทราบสาเหตุ (hereditary essential tremor) เป็นต้น

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและประวัติการเจ็บป่วยเป็นหลัก

ส่วนการตรวจร่างกาย มักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

บางรายขณะที่มีอาการปวด อาจคลำได้หลอดเลือดที่บริเวณขมับโป่งพองและเต้นตุบ ๆ (ลักษณะนุ่ม ไม่เป็นลำแข็งและกดไม่เจ็บ) บางรายอาจพบอาการเจ็บเสียวที่หนังศีรษะเวลาสัมผัสถูก

น้อยรายมากที่อาจพบอาการแสดงของสัญญาณบอกเหตุ เช่น พูดไม่ได้ แขนขาอ่อนแรง หมดสติ

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคไมเกรนชนิดไม่มีสัญญาณบอกเหตุ

มีอาการปวดศีรษะกำเริบอย่างน้อย 5 ครั้ง ซึ่งมีลักษณะอาการดังนี้

1. ปวดศีรษะแต่ละครั้งนาน 4-72 ชั่วโมง

2. มีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 2 อย่าง

    ปวดข้างเดียว
    ปวดแบบตุบ ๆ
    ปวดรุนแรงปานกลางถึงมาก (เป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน)
    ปวดมากขึ้นเมื่อเดินขึ้นบันไดหรือเคลื่อนไหวร่างกาย

3. มีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 1 อย่าง

    คลื่นไส้ อาเจียน หรือทั้ง 2 อย่าง
    กลัวแสง กลัวเสียง หรือทั้ง 2 อย่าง

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคไมเกรนชนิดมีสัญญาณบอกเหตุ

มีอาการกำเริบอย่างน้อย 2 ครั้ง ซึ่งมีลักษณะอาการดังนี้

1. มีสัญญาณบอกเหตุอย่างน้อย 1 อาการ (โดยไม่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต) ดังต่อไปนี้

    อาการผิดปกติทางสายตา เช่น เห็นแสงวอบแวบ เห็นเป็นเส้นหยัก ภาพเบี้ยว ภาพเล็กหรือใหญ่เกินจริง เห็นดวงมืดในลานสายตา
    ความรู้สึกสัมผัสผิดปกติ เช่น รู้สึกเสียวแปลบเหมือนถูกเข็มตำ หรือมีตัวอะไรไต่ ชาที่ใบหน้าหรือแขนขา
    มีอาการพูดไม่ได้หรือพูดลำบาก

2. มีอาการบอกเหตุมีลักษณะอย่างน้อย 2 ข้อต่อไปนี้

ก. มีอาการผิดปกติทางสายตาข้างเดียว และ/หรือความรู้สึกสัมผัสผิดปกติข้างเดียว

ข. มีสัญญาณบอกเหตุอย่างน้อย 1 อาการที่ค่อย ๆ เกิดมากขึ้นในช่วงเวลามากกว่า 5 นาที และ/หรือมีสัญญาณบอกเหตุต่าง ๆ ทยอยเกิดตามกันมาในช่วงเวลามากกว่า 5 นาที

ค. สัญญาณบอกเหตุแต่ละอย่างเป็นอยู่นาน 5-60 นาที

การรักษาโดยแพทย์

1. ขณะที่มีอาการกำเริบ แพทย์จะให้ยาบรรเทาปวด ได้แก่ ยาแก้ปวด-พาราเซตามอล, ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟน ซึ่งมักจะให้เพียงชนิดใดชนิดหนึ่ง บางรายแพทย์อาจให้ทั้ง 2 ชนิดร่วมกัน

และแนะนำผู้ป่วยปฏิบัติตัวในการดูแลรักษาตัวเองและการป้องกันไม่ให้กำเริบบ่อย ข้อสำคัญคือ การให้ยาบรรเทาอาการ ต้องรีบกระทำทันทีเมื่อเริ่มรู้สึกมีอาการกำเริบจึงจะได้ผลดี
 

ถ้ามีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย ให้ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน เช่น เมโทโคลพราไมด์

ถ้ามีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน คลื่นไส้หรืออาเจียน หรืออาการคล้ายเมารถเมาเรือ (ในรายที่เป็นไมเกรนชนิดเวียนศีรษะ) ให้ยาแก้เวียนศีรษะ เมารถเมาเรือ เช่น ไดเมนไฮดริเนต

2. ในรายมีอาการปวดมาก หรือที่กินยาบรรเทาปวดแล้วไม่ทุเลา แพทย์จะให้ยารักษาไมเกรนกลุ่มทริปแทน (triptan) เช่น ซูมาทริปแทน (sumatriptan)* ซึ่งอาจให้ร่วมกับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์

ถ้ามีอาการคลื่นไส้มากจนกินยาไม่ได้ แพทย์จะให้ยาชนิดฉีด เช่น ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ไดโคลฟีแนก, ยาไดไฮโดรเออร์โกตามีน (dihydroergotamine), ยาแก้อาเจียน เช่น เมโทโคลพราไมด์ เป็นต้น

3. ถ้าปวดรุนแรง ปวดติดต่อกันนานเกิน 72 ชั่วโมง แขนขาอ่อนแรงหรือหมดสติ ตามืดมัวหรือเห็นภาพซ้อน หรือสงสัยเกิดจากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ (เช่น ต้อหินเฉียบพลัน หลอดเลือดแดงขมับอักเสบ โรคหลอดเลือดสมองแตก ศีรษะได้รับบาดเจ็บ/เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น) แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด เจาะหลัง ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

ถ้าตรวจพบว่าเป็นไมเกรนที่มีอาการแขนขาอ่อนแรงหรือหมดสติ (เป็นอาการแสดงของไมเกรนชนิดรุนแรง ซึ่งพบได้น้อยมาก) แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้การรักษาแบบประคับประคอง อาการจะเป็นอยู่ชั่วคราวและหายได้เอง

4. ในรายที่มีอาการมากกว่าเดือนละ 3 ครั้ง แพทย์อาจให้ยาป้องกัน (ดูที่หัวข้อ "การป้องกัน" ด้านล่าง) ถ้าใช้ยาไม่ได้ผล หรือมีอาการปวดแทบทุกวัน (มากกว่า 15 วัน/เดือน) ซึ่งถือว่าเป็นไมเกรนเรื้อรัง แพทย์จะตรวจหาสาเหตุและแก้ไขตามสาเหตุที่พบ (เช่น ภาวะซึมเศร้า, การใช้ยารักษาไมเกรนพร่ำเพรื่อมากไป เป็นต้น)

ผลการรักษา โรคนี้มักเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง การใช้ยาและการดูแลตนเองช่วยให้ผู้ป่วยปลอดจากอาการได้นานระยะหนึ่ง หากเจอสิ่งกระตุ้นก็จะกำเริบได้อีก

*ยากลุ่มทริปแทน มีอยู่หลายชนิด มีฤทธิ์กระตุ้นสารซีโรโทนิน (serotonin agonist) และอาจมีผลข้างเคียง เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ออกร้อนวูบวาบตามตัว บางรายอาจมีอาการกลืนลำบาก ลมพิษ ผื่นคัน เจ็บหรือแน่นหน้าอกได้ มีข้อควรระวัง ได้แก่

- ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจหรือสมองตีบ หรือหลอดเลือดส่วนปลายตีบ ความดันโลหิตที่ยังควบคุมไม่ได้ ผู้ที่เป็นไมเกรนชนิดแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีกหรือชนิดก้านสมองขาดเลือด หญิงตั้งครรภ์

- ไม่ควรใช้ควบกับยากลุ่มเออร์โกตามีน (ควรเว้นช่วงห่างอย่างน้อย 24 ชั่วโมง) เนื่องจากมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดแดงหดเกร็ง (vasospasm)

- ห้ามใช้นับรวมกันเกิน 10 วันต่อเดือน เพราะอาจทำให้เกิด "ภาวะปวดศีรษะจากการใช้ยาเกิน (medication overuse headache)"

สำหรับซูมาทริปแทน ให้กินขนาด 50-100 มก. ครั้งเดียว  ถ้าไม่ทุเลาอาจกินซ้ำได้อีกครั้งใน 2 ชั่วโมงต่อมา (ไม่ควรเกิน 200 มก./24 ชั่วโมง)

การดูแลตนเอง

ถ้ามั่นใจ หรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไมเกรน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    กินยาแก้ปวด-พาราเซตามอล* หรือยาที่แพทย์แนะนำ ทันทีที่มีอาการ
    หยุดงานหรือกิจกรรมที่ทำ หยุดการเคลื่อนไหวไปมา หาทางนอนหรือนั่งแบบผ่อนคลายอารมณ์ (อาจตามลมหายใจเข้าออก) ในห้องที่เงียบ มีแสงสลัว และอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่อบอ้าว จนกว่าอาการปวดจะทุเลา
    สังเกตว่ามีสาเหตุอะไรที่กระตุ้นให้อาการกำเริบ แล้วหาทางหลีกเลี่ยงเสีย (โดยจดบันทึกเรื่องราวการกำเริบของโรคนี้ที่เกิดขึ้นทุกครั้งว่า ก่อนมีอาการกำเริบมีการดำเนินชีวิตอย่างไร ทำอะไร สัมผัสอะไร นอนหลับพักผ่อนดีหรือไม่ ร่างกายและจิตใจมีความเครียดหรือไม่)

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ปวดรุนแรง ปวดจนนอนไม่หลับ เวียนศีรษะมาก หรืออาเจียนมาก
    มีอาการปวดตารุนแรง
    ตรวจพบความดันโลหิตสูง
    ปวดนานเกิน 72 ชั่วโมง
    คลำได้เส้นปูดที่ขมับ (ข้างที่ปวด) เป็นลำแข็งกดเจ็บ
    ตามืดมัวหรือเห็นภาพซ้อนต่อเนื่องนานเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ
    แขนขาชาหรืออ่อนแรง เดินเซ หรือชักกระตุก
    เป็นการปวดครั้งแรกในคนอายุมากกว่า 40 ปี
    เป็นๆ หาย ๆ บ่อย หรือมีอาการกำเริบแรงหรือถี่ขึ้นกว่าเดิม
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

1. สำหรับผู้ที่ปวดไมเกรนบ่อย ๆ ให้พยายามค้นหาสิ่งที่กระตุ้นให้ปวด แล้วหลีกเลี่ยงเสีย เช่น

    ถ้ากินยาเม็ดคุมกำเนิดทำให้ปวดบ่อย ก็เลิกยานี้เสีย และหันไปใช้ยาคุมชนิดฉีดแทน (ยานี้มีฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน มีส่วนช่วยป้องกันไมเกรน)
    ถ้ากินอาหารผิดเวลา กินอาหารจำพวกโปรตีนมาก อาหารใส่ผงชูรส หรือดื่มแอลกอฮอล์ แล้วปวดไมเกรน ก็ควรหลีกเลี่ยงเสีย
    ถ้าออกกลางแดด หรือเข้าไปในที่ที่มีแสงจ้า อากาศร้อน หรือเสียงอึกทึกจอแจ (เช่น ตลาดนัด) หรืออดนอน แล้วปวดไมเกรน ก็ควรหลีกเลี่ยงเสีย เป็นต้น

2. ถ้าไม่ทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุกระตุ้น หรือทราบแต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และยังปวดอยู่บ่อย ๆ (มากกว่า 3 ครั้ง/เดือน) จนเสียการเสียงาน แพทย์จะให้ยากินป้องกันไม่ให้ปวด ซึ่งมีอยู่หลายขนาน โดยให้เลือกใช้ขนานใดขนานหนึ่ง เช่น อะมิทริปไทลีน, ไพโซติเฟน, ไซโพรเฮปตาดีน, โพรพราโนลอล, โซเดียมวาลโพรเอต (sodium valproate), โทพิราเมต (topiramate) เป็นต้น และให้กินเป็นประจำทุกวัน ควรให้ติดต่อกันนาน 4-6 เดือนจึงค่อยหยุดยา เมื่อกลับมามีอาการกำเริบบ่อย ๆ อีก ก็ให้กินยาป้องกันซ้ำอีก

7
รถยนต์ไฟฟ้า เอ็มจี MG ZS EV 100th Anniversary Special Edition ปี 2024
899,900 บาท 

เอ็มจี MG ZS EV 100th Anniversary Special Edition ปี 2024
MG ZS EV 100th Anniversary Special Edition มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Truly Easy กับสมรรถนะเหนือชั้นกับระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลัง 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ขนาด 50.3 kWh ขับขี่ได้ระยะทางสูงสุดถึง 403 กิโลเมตร/การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC) พร้อมมีระบบ Liquid Cooling System ช่วยระบายความร้อนให้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ โดดเด่นด้วยดีไซน์เรียบหรูสะดุดตาแต่คงความสปอร์ตไว้อย่างลงตัว ภายในกว้างขวาง ดีไซน์เรียบหรูแต่แฝงความสปอร์ตพรีเมียมด้วยคอนโซลหน้าลายคาร์บอนไฟเบอร์ ใช้วัสดุบุนุ่มแบบ Soft Touch และฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน ระบบเชื่อมต่อมัลติมิเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android พร้อมระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM 20 ระบบ อีกทั้งยังมีระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART และพร้อมโลโก้พิเศษฉลอง100 ปี ราคาพิเศษเพียง 899,900 บาท เท่านั้น

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์             MG
   รุ่น                   เอ็มจี MG ZS EV 100th Anniversary Special Edition ปี 2024
   ประเภทรถ         รถอเนกประสงค์ SUV, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว         2024
   ราคา               899,900 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
อุปกรณ์ชุดแต่ง (กระจังหน้า และกันชนหน้าแบบ GRILLE-LESS DESIGN)
ซันรูฟ (เปิดได้) (แบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof))
สปอยเลอร์หลัง
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว (ปรับไฟฟ้า)
ปัดน้ำฝนกระจกหลัง
ไฟท้าย LED
ขนาดยางหน้า-หลัง (215/55R17)
ราวหลังคา
ยางอะไหล่สำรอง (จะได้ ชุดซ่อมยางฉุกเฉินมาแทน)
ไฟหน้า LED
ไฟ Daytime Running Lights
ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์
ล้ออัลลอย (17 นิ้ว ฝาครอบล้อแบบ Aero Wheel Cover)

   ภายใน
ระบบนำทาง (Navigator)
ตกแต่งภายใน (ด้วยวัสดุ Soft touch)
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์
พวงมาลัยหุ้มหนัง (มัลติฟังก์ชัน ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์)
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้
ภายในโทนสีดำ
กระจกมองหลังตัดแสง
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (ระบบจ่ายกระแสไฟ V2L (Vehicle to Load))
พวงมาลัยไฟฟ้า

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า                    Permanent Magnet Synchronous Motor มอเตอร์ไฟฟ้า 177 แรงม้า แรงบิด 280 นิวตันเมตร
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)       177 แรงม้า
   ระบบเกียร์                       1 จังหวะ
   รูปแบบเกียร์                     EDS
   ระบบเบรค ABS                 มี (พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB)
   ชนิดแบตเตอรี่                   ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่               50.3 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง    403 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NDEC)
   น้ำหนักตัวรถ                      1,610 กก.
   ประเภทยางรถยนต์                -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                   ล้ออัลลอย (17 นิ้ว ฝาครอบล้อแบบ Aero Wheel Cover)
   ระบบขับเคลื่อน                   ขับเคลื่อนล้อหน้า

ระบบความปลอดภัย
  อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS)
ตัวถังนิรภัย (FSF)
ดิสก์เบรก 4 ล้อ
กุญแจรีโมท (Smart Key)
กุญแจนิรภัย (แบบ Immobilizer)
ล็อคประตูอัตโนมัติ
ไฟเบรกดวงที่ 3
สัญญาณเตือนถอยหลัง
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 3 ระดับ)
เข็มขัดนิรภัย (คู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ แถวหลังแบบ 3 จุด 3 ตำแหน่ง)
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน
อื่นๆ (ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน และช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน,ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW,ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA)
ระบบ intelligence forward collision warning
ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน
ระบบสั่งการด้วยเสียง
กล้อง (กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ)
ระบบเพิ่มแรงเบรกฉุกเฉิน EBA (Emergency Brake Assist) และระบบเบรกอัตโนมัติ BOS (Brake Override System
เทคโนโลยีสัญญาณเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์ด้านหน้าขณะขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Forward Collisio
เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking - IEB)
เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW)
เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert - RCTA)
เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor - IAVM)
เทคโนโลยีควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
เทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HSA
เบรกมือไฟฟ้า
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX)

8
อาการของโรคภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea)

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea)* หมายถึง การหยุดหายใจ หรือหายใจแผ่วช่วงสั้น ๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยระหว่างนอนหลับ ส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง ทำให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวใจ สมอง และปอด ซึ่งบางครั้งอาจเป็นอันตรายถึงตายได้

ภาวะนี้พบบ่อยในคนอ้วน เพศชาย ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

ในกลุ่มผู้ชายสูงอายุและอ้วน พบภาวะหยุดหายใจขณะหลับประมาณร้อยละ 10 ขณะที่กลุ่มคนทั่วไปที่นอนกรน พบภาวะนี้เพียงร้อยละ 1

*ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่มที่ 1 Central sleep apnea เกิดจากสมองไม่ส่งสัญญาณประสาทไปยังกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกที่ใช้ในการหายใจ ทำให้หยุดหายใจเป็นช่วง ๆ พบในผู้ป่วยที่เป็นโรคทางสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือเนื้องอกสมอง เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 Obstructive sleep apnea เกิดจากภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งพบได้มากกว่ากลุ่มที่ 1 มาก ในที่นี้เมื่อกล่าวถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับก็มักจะหมายถึงกลุ่มที่ 2 นี้


สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยดังต่อไปนี้

    อายุ คนที่มีอายุมาก เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อหย่อนยาน ทำให้ช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอแคบลง ลิ้นไก่และลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย โรคนี้พบบ่อยในคนอายุ 40-70 ปี
    เพศ พบภาวะนี้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เชื่อว่าฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนช่วยทำให้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจมีความตึงตัวที่ดีกว่า จึงมีการอุดกั้นทางเดินหายใจน้อยกว่าผู้ชาย แต่หลังวัยหมดประจำเดือนผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้พอ ๆ กับผู้ชาย
    ลักษณะโครงสร้างของกระดูกใบหน้า คนที่มีลักษณะคางสั้น กระดูกใบหน้าแบน จะมีช่องทางเดินหายใจส่วนต้นแคบกว่าปกติ
    ความอ้วน คนที่อ้วนจะมีการสะสมไขมันมากที่ลำคอและทรวงอก ทำให้ช่องทางเดินหายใจส่วนต้นแคบลง และการเคลื่อนไหวของหน้าอกน้อยกว่าปกติ
    การบริโภคแอลกอฮอล์ ยากลุ่มประสาทและยานอนหลับ ทำให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ รวมทั้งบริเวณลำคออ่อนแรง เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย
    การสูบบุหรี่ ทำให้ระบบทางเดินหายใจมีประสิทธิภาพลดลง
    กรรมพันธุ์ อาจพบว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นด้วย
    โรคประจำตัว เช่น หืด หวัดภูมิแพ้ ติ่งเนื้อเมือกจมูก ผนังกั้นจมูกคด พาร์กินสัน ความดันโลหิตสูง หัวใจวาย เบาหวาน ภาวะขาดไทรอยด์ กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง เป็นต้น
    ในเด็ก อาจเกิดจากทอนซิลโต ต่อมอะดีนอยด์โต หรือมีความผิดปกติแต่กำเนิด (เช่น ใบหน้าเล็ก ลิ้นใหญ่)

เมื่อมีการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้นเกิดขึ้นขณะนอนหลับ ก็จะทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจตามมา ซึ่งอาจแสดงอาการได้ 2 ลักษณะ ได้แก่

1. การหยุดหายใจ (apnea) ไม่มีลมหายใจเข้าออกทางจมูกและปาก เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วินาที

2. การหายใจแผ่ว (hypopnea) มีลมหายใจเข้าออกทางจมูกหรือปากลดลงอย่างน้อยร้อยละ 50 เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วินาที สังเกตได้จากการกระเพื่อมของหน้าอกและท้องลดลง

ขณะที่หยุดหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือดจะต่ำลง ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงน้อยลง เมื่อลดลงถึงระดับหนึ่ง สมองจะมีกลไกตอบสนองโดยอัตโนมัติ ปลุกให้ตื่นจากหลับ และทำให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้นตึงตัว เปิดช่องทางเดินหายใจให้โล่ง (ผู้ป่วยจะมีอาการสะดุ้ง สำลักน้ำลายตนเอง หรือหายใจเฮือกอย่างดังและแรง) ผู้ป่วยก็จะกลับมาหายใจเป็นปกติ พอหลับไปได้สักพักหนึ่งก็เกิดภาวะหยุดหายใจอีก แล้วสมองก็จะปลุกให้ตื่นอีก เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งคืน อาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นมากกว่าชั่วโมงละ 10 ครั้ง ทำให้นอนหลับไม่เต็มที่ แต่ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวว่ามีการสะดุดของการนอน และเข้าใจว่าตัวเองนอนหลับได้ดี

อาการ

ที่สำคัญคือ ผู้ป่วยจะมีอาการนอนกรนเสียงดัง สร้างความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง ร่วมกับมีการหยุดหายใจหรือหายใจแผ่วเป็นช่วง ๆ (ผู้ที่อยู่ข้าง ๆ จะสังเกตเห็นหน้าอกและท้องไม่กระเพื่อม หรือกระเพื่อมน้อยลง) นานอย่างน้อย 10 วินาที บางครั้งอาจนานถึง 1 นาที

ผู้ป่วยจะรู้สึกนอนหลับไม่สนิท นอนกระสับกระส่าย นอนอ้าปากหายใจให้ได้อากาศ หรือสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ และเวลาตื่นขึ้นมารู้สึกคอแห้งหรือเจ็บคอ 

หลังตื่นนอนตอนเช้ามักมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย รู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม ทั้งที่มีเวลานอนนานเพียงพอ

ผู้ป่วยมักมีอาการง่วงนอนบ่อย นั่งสัปหงก หรือหลับง่ายในช่วงเวลากลางวัน เช่น ขณะทำงาน เรียนหนังสือ นั่งคุยกับผู้อื่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หลังอาหารกลางวัน เป็นต้น บางครั้งมีอาการหลับในขณะขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรจนได้รับอุบัติเหตุ

ผู้ป่วยมักมีอารมณ์หงุดหงิด หรืออารมณ์เสียง่าย เสียสมาธิ หลงลืมง่าย

ในเด็ก อาจมีอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนหรือปัสสาวะรดที่นอน นอนดิ้นไปดิ้นมา หลับไม่สนิท ผวาตื่นหรือฝันร้าย ร่างกายไม่แข็งแรงร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ป่วยมีอาการง่วงนอนง่าย อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น หงุดหงิดง่าย เสียสมาธิ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ และอาจเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถหรือการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ในเด็กอาจทำให้เรียนหนังสือได้ไม่ดี หรือมีปัญหาด้านความประพฤติได้

นอกจากนี้ หากปล่อยให้เป็นเรื้อรังนาน ๆ โดยไม่ได้รับการรักษา อาจพบภาวะแทรกซ้อน เช่น

    ความดันโลหิตสูง เนื่องจากมีการหลั่งสารอะดรีนาลินออกมาในร่างกายมากกว่าปกติ พบได้ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
    เบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับเพิ่มโอกาสของการเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance)
    โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (อาจเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ) โรคหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง ความดันในปอดสูง (pulmonary hypertension ซึ่งเป็นต้นเหตุของภาวะหัวใจซีกขวาล้มเหลว)
    ผู้ที่มีโรคหัวใจขาดเลือดอยู่ก่อน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
    ตับมีความผิดปกติ เช่น มีเอนไซม์ตับ (AST, ALT) สูง และภาวะไขมันสะสมในตับ
    ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือองคชาตไม่แข็งตัว (erectile dysfunction/ED)
    ความผิดปกติทางจิตประสาท เช่น ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง โรคซึมเศร้า เป็นต้น 
    อาการนอนกรนเสียงดังยังส่งผลต่อปัญหาสังคม คือ อาจเป็นเหตุของการหย่าร้างระหว่างสามีภรรยา
    ในเด็ก อาจทำให้พัฒนาการของร่างกายและสมองแย่ลง ฮอร์โมนเจริญเติบโต (growth hormone) มีปริมาณลดลง ทำให้มีความสูงน้อยกว่าเด็กปกติ ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน หรือปัสสาวะรดที่นอน นั่งสัปหงกในห้องเรียน ไม่มีสมาธิในการเรียน ผลการเรียนไม่ดี

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

การตรวจร่างกายขณะตื่นนอนตอนกลางวัน มักไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน ยกเว้นบางคนอาจตรวจพบว่ามีรูปร่างอ้วน ความดันโลหิตสูง

การตรวจร่างกายขณะนอนหลับ จะพบอาการกรนเสียงดัง และมีภาวะหยุดหายใจ หรือหายใจแผ่วเป็นช่วง ๆ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจความผิดปกติระหว่างการนอนหลับด้วยวิธีที่เรียกว่า "Polysomnography (PSG)" โดยต้องไปนอนค้างที่โรงพยาบาล แล้วใช้อุปกรณ์ตรวจวัดลักษณะการหายใจ และการเปลี่ยนแปลงของหัวใจ ปอด สมอง การเคลื่อนไหวของแขนขา ระดับออกซิเจนในเลือด

นอกจากนี้ ในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือมีอาการที่สงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

1. แพทย์จะเริ่มต้นให้การดูแลรักษา ด้วยการให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่

    การลดน้ำหนักตัว ควรลดให้ได้มากกว่าร้อยละ 10 อาจมีผลทำให้หายขาดในผู้ป่วยบางรายได้
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำให้ร่างกายแข็งแรง มีส่วนช่วยให้อาการทุเลาได้ แม้ว่าจะมีน้ำหนักตัวเกิน
    หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนเข้านอน เพราะจะทำให้ทางเดินหายใจอุดกั้นได้ง่าย และหยุดหายใจนานขึ้น 
    พยายามนอนในท่าตะแคง หรือท่าที่ทำให้อาการลดลง (สมัยก่อนมีการใช้ถุงใส่ลูกเทนนิส 3-4 ลูกติดไว้ด้านหลังของเสื้อนอน เพื่อบังคับให้ผู้ป่วยนอนตะแคง)
    งดสูบบุหรี่

2. ถ้าไม่ได้ผล หรือมีอาการรุนแรง ก็จะให้การรักษาเพิ่มเติม ซึ่งมีให้เลือกอยู่หลายวิธี ดังนี้

    การใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรม ช่วยเพิ่มขนาดของทางเดินหายใจในช่วงนอนหลับ วิธีนี้ใช้ได้ผลในรายที่เป็นไม่รุนแรง
    การใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (continuous positive airway pressure/CPAP) เพื่อช่วยหายใจขณะนอนหลับ มีลักษณะเป็นหน้ากากใช้สวมจมูกเวลานอน สามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่เป็นรุนแรง และได้ผลในการแก้ภาวะนี้ได้มากกว่าร้อยละ 90
    การผ่าตัดขยายทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น ซึ่งมีอยู่หลายวิธี แพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพปัญหาของผู้ป่วยแต่ละราย ส่วนเด็กที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับเนื่องจากทอนซิลโตหรือต่อมอะดีนอยด์ (adenoid) โต ก็รักษาด้วยการผ่าตัดทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์

3. หากพบมีภาวะแทรกซ้อนร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น แพทย์ก็จะทำการรักษาโรคเหล่านี้ควบคู่กันไป

ผลการรักษา ส่วนใหญ่สามารถรักษาให้อาการหายเป็นปกติได้ด้วยการปรับพฤติกรรม และ/หรือใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) ส่วนน้อยที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด


การดูแลตนเอง

หากมีอาการนอนกรน ร่วมกับมีความรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม มีอาการปวดศีรษะหรืออ่อนเพลียหลังตื่นนอน หรือมีอาการง่วงนอนหรือนั่งสัปหงกง่ายในเวลากลางวัน ควรปรึกษาแพทย์ 

เมื่อตรวจพบว่าเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    ดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ปรับพฤติกรรมที่มีส่วนช่วยในการรักษาโรคอย่างจริงจัง ได้แก่ ลดน้ำหนักตัว ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนเข้านอน งดสูบบุหรี่ พยายามนอนในท่าตะแคง
    สงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น

การป้องกัน

สำหรับกลุ่มที่มีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคประจำตัวและพฤติกรรม อาจป้องกันหรือทำให้โรคทุเลาได้ด้วยการปฏิบัติตัว ที่สำคัญคือ การออกกำลังกาย การลดน้ำหนัก การไม่บริโภคสุราและยาสูบ และการควบคุมโรค (เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หวัดภูมิแพ้ หืด ภาวะขาดไทรอยด์ เป็นต้น)

ข้อแนะนำ

1. อาการนอนกรน (snoring) มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดไม่อันตราย (ซึ่งไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เพียงแต่สร้างความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง) และชนิดอันตราย (ซึ่งมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย และส่งผลเสียต่อสุขภาพมากมาย) ดังนั้น ถ้ามีอาการนอนกรน ควรสังเกตว่ามีภาวะหยุดหายใจ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ (เช่น ง่วงนอนหรือหลับง่ายในเวลากลางวัน อารมณ์หงุดหงิด เสียสมาธิ หลงลืมง่าย ความดันโลหิตสูง เป็นต้น) ร่วมด้วยหรือไม่ หากสงสัยว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวินิจฉัยและให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ

2. การรักษาโรคนี้ด้วยการใช้เครื่องอัดอากาศ (CPAP) เพื่อช่วยหายใจขณะนอนหลับ จะช่วยให้อาการดีขึ้น แต่ต้องใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกคืน เมื่อหยุดใช้อาการมักกลับมากำเริบได้อีก

3. การรักษาภาวะนี้ให้ได้ผลอย่างจริงจัง จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะความดันโลหิตสูงที่พบร่วมด้วยก็จะหายได้ ในช่วงที่ยังมีความดันโลหิตสูง อาจจำเป็นต้องให้ยาลดความดัน

9
motor expo: Audi RS Q8 quattro performance ยนตรกรรมเอสยูวีพลังแรงรุ่นเรือธงแห่งตระกูล RS สืบทอด DNA จากสนามแข่งสู่ท้องถนน ด้วยราคา 13.59 ล้านบาท

อาวดี้ ประเทศไทย เริ่มต้นปี 2568 อย่างร้อนแรง ด้วยการเปิดตัวยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุด Audi RS Q8 quattro performance ยนตรกรรมเอสยูวีพลังแรงที่ผสานสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์เข้ากับความหรูหราเหนือระดับ นับเป็นรุ่นเรือธงแห่งตระกูล RS ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น The Most Powerful SUV มาพร้อมพละกำลังและความเร็วที่สืบทอด DNA จากสนามแข่งสู่ท้องถนน หนึ่งในความภาคภูมิใจของอาวดี้ที่ได้รับการพิสูจน์สมรรถนะด้วยการเป็นเอสยูวีที่เร็วที่สุดในสนาม Nürburgring สนามแข่งระดับตำนานด้วยเวลาเพียง 7.36.698 นาที สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญและจิตวิญญาณแห่งความสปอร์ตที่แท้จริงของ Audi Sport GmbH

รถสมรรถนะสูงตระกูล RS ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความแรงและความเร็ว แต่ยังยกระดับมาตรฐานในกลุ่ม High-Performance ให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ทั้งด้านสมรรถนะและความหรูหราได้อย่างลงตัว ครบครัน พร้อมราคาที่เร้าใจสำหรับแฟนรถตระกูล High Performance อย่างแท้จริง Audi RS Q8 quattro performance อัพเกรดทุกมิติเพิ่มสมรรถนะที่เร็วและแรงขึ้น ดีไซน์ลุคสปอร์ตจัดเต็ม เช่น RS Ceramic เบรกที่มาพร้อมกับคาลิปเปอร์เบรกสีน้ำเงิน, ไฟหน้า HD Matrix LED, ไฟท้าย OLED, การตกแต่งภายในด้วย Stitching สีน้ำเงิน รวมไปถึงระบบความปลอดภัย ระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ครบครัน และยังสามารถปรับแต่งความ Exclusive เสริมความเป็นเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นสีพิเศษที่มีให้เลือกถึง 12 สี, ชุดแต่งคาร์บอนรอบคัน และชุดลำโพง

ขุมพลังระดับ Performance (The Most Powerful SUV)
Audi RS Q8 quattro performance โดดเด่นด้วย ขุมพลังระดับ Performance ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 TFSI 4.0 ลิตร พร้อมระบบ Mild Hybrid Technology (MHEV) พร้อมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบฉีดตรง และเทอร์โบชาร์จ ให้พละกำลัง 640 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร Audi RS Q8 Performance สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.6 วินาที ระบบท่อไอเสียแบบ RS Sport เสียงกระหึ่มดุดัน ทำให้ทุกการขับขี่เต็มไปด้วยความเร้าใจ ขณะที่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro (self-locking centre differential) ที่ประมวลผลในการกระจายแรงขับเคลื่อนได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อสร้างแรงยึดเกาะถนนในสถานการณ์ต่างๆ สร้างความมั่นใจทุกเส้นทางในการขับขี่

การออกแบบที่ดึงดูด สะกดทุกสายตา
Audi RS Q8 quattro performance ได้รับการออกแบบให้มีความสปอร์ตดุดันและความหรูหรา ตัวรถมาพร้อมล้ออัลลอยขนาดใหญ่ถึง 23 นิ้ว ดีไซน์และสีพิเศษ Matt grey จัดเต็มกับจานเบรกเซรามิคแบบ RS พร้อมด้วยคาลิปเปอร์เบรกสีน้ำเงินใหม่ เป็นมาตรฐานให้กับรถยนต์รุ่น RS Q8 ชุดแต่ง RS รอบคัน

เบาะทรงสปอร์ตหุ้มด้วยหนังพรีเมียม Valcona มาพร้อมครบกับทุกฟังก์ชันที่เสริมความสะดวกสบายในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น ระบบเบาะอุ่นร้อน ระบบเบาะระบายอากาศ และฟังก์ชันนวดผ่อนคลายที่สามารถเลือกรูปแบบการนวดได้มากถึง 8 โปรแกรม และเป็นครั้งแรกในประเทศไทยกับการตกแต่งภายในด้วย Stitching สีน้ำเงิน เพิ่มความสปอร์ตและหรูหราในทุกมุมมอง

Audi RS Q8 quattro performance ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อมอบสมรรถนะที่เหนือชั้น พร้อมระบบเบรกที่ล้ำสมัย RS Ceramics Brake ระบบเบรกที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูง มีจุดเด่นในด้านความทนทานต่อความร้อนได้อย่างดีเยี่ยม มั่นใจได้ในทุกการเบรก พร้อมด้วยวัสดุที่ทำจากเซรามิคคุณภาพดีเยี่ยม เสริมอายุการใช้งานที่ยาวนาน และน้ำหนักเบา ช่วยลดน้ำหนักรวมของตัวรถ เพิ่มความคล่องตัวและการควบคุมได้ดียิ่งขึ้น มาพร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีน้ำเงินที่โดดเด่น

การออกแบบยังสะท้อนถึงความพิถีพิถันและนวัตกรรมล้ำสมัย ด้วยเทคโนโลยีระบบไฟที่ดีที่สุดจาก AUDI AG ทำให้ระบบไฟหน้า HD Matrix LED ผสานกับไฟ Audi Laser light ที่มอบความสว่างและประสิทธิภาพสูงสุดโดยไม่รบกวนสายตาผู้ใช้ถนนในเวลากลางคืน

ในขณะที่ไฟท้าย Digital OLED ที่เสริมความสปอร์ตและโดดเด่น สามารถแจ้งเตือนรถคันหลัง หรือบุคคลเมื่อเข้ามาในระยะ 2 เมตร พร้อมยังสามารถปรับเปลี่ยนดีไซน์ร่วมกับไฟหน้าได้ถึง 5 รูปแบบ สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถในตระกูล RS ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
Audi RS Q8 quattro performance มาพร้อมระบบ Infotainment หน้าจอสัมผัส MMI Navigation Plus และชุดเครื่องเสียง Bang & Olufsen ระดับพรีเมียม และเพื่อสัมผัสระบบเสียงที่เหนือกว่า สามารถปรับแต่งลำโพงให้พรีเมียมยิ่งขึ้นด้วยแพ็คเกจ Bang & Olufsen Advanced sound system with 3D sound ลำโพงคุณภาพสูง 23 ตำแหน่ง ที่มีดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ สามารถยกขึ้นมาได้อัตโนมัติ ให้ประสบการณ์เสียงที่มีมิติ ประสิทธิภาพเสียงที่มีรายละเอียดสูง คุณภาพเสียงคมชัดในรูปแบบ 3 มิติ ให้ความรู้สึกดั่งคอนเสิร์ตส่วนตัว ผ่านกำลังขับ 1,920 วัตต์

สำหรับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยใน Audi RS Q8 Performance เรียกว่าจัดเต็มพิกัด ทั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วแปรผันและรักษาระยะห่างด้านหน้า (Adaptive cruise control with Stop&Go function), ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุแบบด้านหน้าและด้านหลัง (Proactive occupant protection, front and rear), ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อจะเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning), ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross-traffic assist), ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist warning)

ยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุด Audi RS Q8 quattro performance ซึ่งนับเป็นยนตรกรรมเอสยูวีพลังแรงที่ผสานสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์เข้ากับความหรูหราเหนือระดับ มีให้เลือกหลากหลายตามความต้องการของลูกค้า นอกเหนือจากสีมาตรฐาน 4 สี ได้แก่ Mythos black Metallic, Daytona grey Pearl effect, Waitomo blue Metallic และ Ascari blue Metallic โดยเปิดให้จองแล้วตั้งแต่วันนี้ ในราคาสุดคุ้มค่าเริ่มต้น 13.59 ล้านบาท

สำหรับลูกค้าที่ต้องการ ความโดดเด่นเฉพาะตัว อาวดี้ยังได้จัดแพ็คเกจ Exclusive ในราคาพิเศษ 600,000 บาท โดยมีให้เลือกถึง 12 สี คือ Sepang blue Metallic, Nogaro blue Pearl effect, Night blue Pearl effect, Misano red Metallic, Siam beige Metallic, Merlin Pearl effect, Avocado green Pearl effect, Goodwood green Pearl effect, Camouflage green Metallic, Suzuka grey Metallic, Arrow grey Metallic, และ Nimbus grey Pearl effect

นอกจากนี้อาวดี้ยังจัดแพ็คเกจชุดแต่ง Carbon ในราคาพิเศษ 650,000 บาท สำหรับลูกค้าที่อยากได้ความสปอร์ตและความดุดันเพิ่มขึ้น ครอบคลุมชุดแต่งภายนอกรอบคันในลุค Matt Carbon ไม่ว่าจะเป็นช่องรับลมด้านหน้าขนาดใหญ่, สปอยเลอร์หน้า, กระจังหน้าแบบ Single-frame, กระจกมองข้างภายนอก และแผงด้านหลัง

ประสบการณ์เสียงที่สมบูรณ์แบบระดับพรีเมียม ลูกค้ายังสามารถเลือกแพ็คเกจลำโพง Bang & Olufsen ระบบเสียง 3 มิติ ที่อาวดี้จัดให้ในราคาพิเศษ 800,000 บาท ประกอบด้วยลำโพงคุณภาพสูง 23 ตำแหน่ง ฝาครอบลำโพงทำจากอลูมิเนียมและแม่เหล็กแรงสูงนีโอไดเมียม ลำโพงกลางรวมถึงเลนส์อะคูสติกซ้ายขวาที่ตั้งบนคอนโซลด้านหน้า สามารถยกขึ้นอัตโนมัติ ทำงานควบคู่กับลำโพงบรอดแบรนด์ที่ติดตั้งเพิ่มบริเวณเสา A และหลังคารถยนต์ด้านหลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเสียงที่มีรายละเอียดสูง คุณภาพเสียงคมชัดในรูปแบบ 3 มิติ กำลังขับรวม 1,920 วัตต์ พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนขณะขับขี่และปรับระดับเสียงตามความเร็วอัตโนมัติ

ร่วมสัมผัสสมรรถนะเหนือระดับ Audi RS Q8 quattro performance ยนตรกรรมเอสยูวีพลังแรง ที่ไม่เพียงเป็นคำตอบสำหรับ ผู้ที่ต้องการรถยนต์ที่รวมความเร็ว แรง และความหรูหราไว้ในคันเดียว แต่ยังให้ประสบการณ์ใหม่ที่ไม่มีใครเทียบได้ และพร้อมให้ปลดปล่อยทุกความเป็นไปได้ในการขับขี่ ติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารการเปิดตัวรถได้จาก FB : Audi Thailand หรือพิมพ์ #AudiThailand #RSQ8performance #SUVสมรรถนะสูง

Audi เป็นรถยนต์นำเข้าประกอบนอกทั้งคัน คุณภาพมาตรฐานเยอรมันทุกรุ่น ลูกค้าที่ออกรถอาวดี้ทุกรุ่นได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน รถไฟฟ้า   e-tron และรถ Plug-in Hybrid TFSI e Audi ใหม่ทุุกรุ่น รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี
ฟรี บริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉิน ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
ฟรี บริการยก/ลากรถไปยังศูนย์บริการอย่างเป็นทางการของ Audi Thailand ภายในระยะทาง 50 กิโลเมตร หรือไปยังสถานที่อื่นที่สมาชิกต้องการภายในระยะทาง 35 กิโลเมตร (ส่วนต่างคิดค่าบริการกิโลเมตรละ 25 บาท สมาชิกเป็นผู้รับผิดชอบค่าบริการส่วนต่าง)
ฟรี บริการให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิคตลอด 24 ชั่วโมง ในกรณีที่เกิดรถเสียฉุกเฉิน
ฟรี บริการรับกุญแจสำรอง กรณีล็อครถโดยไม่ตั้งใจ เจ้าหน้าที่จะประสานงานเพื่อนำกุญแจสำรองมาให้ ณ จุดเกิดเหตุภายในระยะทาง 20 กิโลเมตร (กรณีที่เกินกว่า 20 กิโลเมตร คิดค่าบริการกิโลเมตรละ 25 บาท กรณีที่ต้องการใช้ช่างกุญแจที่มีความชำนาญเพื่อหาวิธีการเข้าไปในรถนั้น จะต้องได้รับความยินยอมจากสมาชิกก่อน ค่าใช้จ่ายสำหรับช่างกุญแจจะรวมอยู่ในบริการ)

กรณีเกิดเหตุน้ำมันหมดฉุกเฉินไม่สามารถขับเคลื่อนได้ เจ้าหน้าที่จะจัดส่งน้ำมันไม่เกิน 10 ลิตร/ครั้ง/ปี เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนไปยังสถานีน้ำมันที่ใกล้ที่สุดได้ (หากเกิดเหตุมากกว่า 1 ครั้ง/ปี ครั้งต่อไปฟรีค่าประสานงาน สมาชิกเป็นผู้รับผิดชอบค่าน้ำมัน)


10
จัดฟันบางนา: การปลูกกระดูกฟันเพิ่มความหนา เพื่อฝังรากฟันเทียม

การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ช่วยให้ผู้ที่สูญเสียฟัน ซึ่งการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมนั้น ทันตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่า ผู้เข้ารับการรักษามีความพร้อมในการรักษาหรือไม่ โดยจะประเมินจากสุขภาพเหงือกโดยรอบจุดที่จะทำการฝังรากฟันเทียม และกระดูกรองรับฟันที่จะใช้ฝังรากฟันเทียมว่ามีความพร้อมหรือไม่ โดยจะดูว่ากระดูกฟันมีความหนาแน่นพอที่จะรองรับรากฟันเทียม และแรงบดเคี้ยวได้หรือไม่ ซึ่งกระดูกรองรับฟันถือเป็นเรื่องสำคัญในการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม

หากผู้เข้ารับการรักษามีกระดูกขากรรไกรที่ใช้รองรับฟันที่ไม่พร้อม หรือมีความหนาแน่นไม่พอ ทันตแพทย์จะทำการปลูกกระดูกฟัน เพื่อให้มีความพร้อมในการรักษา ซึ่งหากผู้เข้ารับการรักษามีความหนาแน่นของกระดูกฟันไม่พอ จะต้องทำการปลูกกระดูกฟันเพื่อเพิ่มความหนา เพื่อให้สามารถฝังรากฟันเทียมได้ การปลูกกระดูกนั้น จะส่งผลต่อผลการรักษาโดยตรง หากมีกระดูกฟันไม่เพียงพอ ทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาจะไม่แนะนำให้ผู้เข้ารับการรักษาเข้ารับการฝังรากฟันเทียมทันที แต่จะแนะนำให้ผู้เข้ารับการรักษาข้ารับการปลูกกระดูกเสียก่อน

โดยการปลูกกระดูกนั้น มีกระดูกหลายชนิดที่จะนำมาทดแทนและปลูกกระดูกฟัน ยกตัวอย่างเช่น กระดูกของผู้เข้ารับการรักษาเอง ซึ่งกระดูกของผู้เข้ารับการรักษาจะสามารถเข้าได้ดีกับร่างกายของผู้เข้ารับการรักษาอยู่แล้ว ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนแล้วการติดเชื้ออื่นๆด้วย สำหรับการปลูกกระดูกในการฝังรากฟันเทียมมีหลายวิธี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการฝัง ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล บางคนมีกระดูกฟันที่ไม่เพียงพอ หรือมีความหนาแน่นที่อยู่ในข้อจำกัดที่ไม่สามารถเข้ารับการฝังรากฟันเทียมได้ ก็จะใช้วิธีการปลูกกระดูกฟันเพื่อเพิ่มความหนา


การปลูกกระดูกเพื่อเพิ่มความหนา คือการปลูกกระดูกด้านข้าง สามารถใช้กระดูกได้หลากหลายชนิดและมีเทคนิคย่อยๆอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีการปลูกกระดูกแบบชิ้นเพื่อเพิ่มความหนาหรือความสูง โดยการเก็บกระดูกมาเป็นชิ้น ปลูกแบบชิ้นนั่นเอง ดังนั้นหมายถึงกระดูกที่นิยมนำมาใช้ในการปลูกกระดูกชนิดนี้คือ กระดูกของผู้เข้ารับการรักษา อย่างที่บอกไปแล้วว่า กระดูกจากผู้เข้ารับการรักษาจะดีกว่ากระดูกจากที่อื่น เพราะสามารถเข้ากับเนื้อเยื่อและร่างกายของผู้เข้ารับการรักษาได้ดี โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือเกิดการติดเชื้อตามมา

สำหรับขั้นตอนการปลูกกระดูกฟัน จะขึ้นอยู่กับวิธีและชนิดของกระดูก ทันตแพทย์จะทำการเอกเรย์ดูก่อนการผ่าตัด การปลูกกระดูกพร้อมกับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมไปพร้อมกัน ในกรณีนี้ เมื่อทันตแพทย์ทำการเอ็กซเรย์และประเมินว่า คนไข้ยังพอมีกระดูกที่จะให้ยึดกับรากฟันเทียมให้แน่นแต่ยังไม่เพียงพอ ต้องมีการปลุกกระดูกเพิ่มแต่ไม่มาก อันนี้จะสามารถฝังรากเทียมพร้อมปลูกกระดูกได้เลยทันที โดยส่วนใหญ่ผู้เข้ารับการรักษาจะพึงพอใจกับวิธีการรักษาแบบนี้ เพราะมีการผ่าตัดเพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ยังใช้ระยะเวลารอเพื่อทำครอบฟันหลังจากฝังรากฟันเทียมประมาณ 3-4 เดือน ต่อมาวิธีการปลูกกระดูกก่อนแล้วค่อยฝังรากฟันเทียมอีกครั้ง ในกรณีนี้คือทันตแพทย์เห็นแล้วว่ามีกระดูกฟันน้อยมาก ไม่สามารถที่จะยึดรากฟันเทียมให้อยู่แน่นได้ หากทำการฝังรากฟันเทียมไปอาจจะหลุดได้ จึงพิจารณาการปลูกกระดูกก่อน เพื่อให้มีกระดูกพอแล้วถึงฝังรากฟันเทียมอีกรอบ


ในกรณีนี้ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการผ่าตัด 2 รอบ ใช้ระยะเวลาในการปลูกกระดูกแล้ว ต้องรอไม่น้อยกว่า 6 เดือน ถึงจะเข้ารับการรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียมได้ และต้องรออีก 3 เดือนถึงจะทำครอบฟันได้ ซึ่งจะใช้ระยะเวลาที่นานพอสมควรเลย ซึ่งถือว่าการปลูกกระดูก เป็นเรื่องที่ดีต่อผู้เข้ารับการรักษา เป็นการเพิ่มอัตราความสำเร็จในการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมด้วย เพื่อให้มีผลการรักษาที่น่าพึงพอใจ และป้องกันการเกิดปัญหาที่จะตามมาในอนาคต

11
วัดป่ากุลสุวรรณ์ชมพระอุโบสถสถาปัตยกรรมแนะนำใส่ชุดแม่ชีฝึกปฏิบัติธรรม เจริญสติภายใต้การแนะนำของพระภิกษุผู้มีประสบการณ์

วัดป่ากุลสุวรรณ์เป็นวัดป่ากรรมฐานสาขาของหลวงปู่สาคร ธัมมาวุโธ ตั้งอยู่อำเภอเมืองกาญจนบุรีเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหาความสงบ ปฏิบัติธรรมและสัมผัสธรรมชาติ วัดป่ากุลสุวรรณ์ตั้งอยู่ท่ามกลางความเขียวขจีและเนินเขาสลับซับซ้อนสะท้อนให้เห็นถึงความเรียบง่ายและความมีสติเหมาะใส่ชุดขาว ชุดขาวชาย ชุดขาวหญิง ชุดขาวปฏิบัติธรรม มาเที่ยววัดป่ากุลสุวรรณ์

สภาพแวดล้อมของวัดได้รับการออกแบบโดยตั้งใจให้ส่งเสริมการสำรวจตนเอง หากคุณกำลังมองหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจใกล้กรุงเทพฯ วัดแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ

ประวัติความเป็นมา
วัดป่ากุลสุวรรณ์ก่อตั้งขึ้นตามดำริของพระอาจารย์สาคร ธัมมาวุโธ เจ้าอาวาสวัดเวฬุวัน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของชาวเมืองกาญจนบุรี และเป็นที่พักสำหรับพระภิกษุสามเณรที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด วัดป่ากุลสุวรรณ์ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของจังหวัดกาญจนบุรีเป็นสถานที่พักผ่อนอันเงียบสงบสำหรับผู้ที่แสวงหาการฟื้นฟูจิตใจผ่านการปฏิบัติธรรมวัดป่าอันเงียบสงบแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการสัมผัสกับธรรมชาติและไตร่ตรองคำสอนของพระพุทธเจ้า ห่างไกลจากความวุ่นวายของชีวิตในเมือง

บรรยากาศและความสำคัญของวัด
วัดป่ากุลสุวรรณ์ตั้งอยู่ท่ามกลางความเขียวขจีและเนินเขาสลับซับซ้อน สะท้อนให้เห็นถึงความเรียบง่ายและความมีสติ สภาพแวดล้อมของวัดได้รับการออกแบบโดยตั้งใจให้ส่งเสริมการสำรวจตนเอง เสียงนกร้อง เสียงใบไม้ไหว และสายลมพัดผ่านช่วยให้ผู้มาเยือนสัมผัสได้ถึงความสงบเงียบอย่างล้ำลึก สถาปัตยกรรมของวัดเป็นแบบเรียบง่าย เน้นหลักการแห่งความหลุดพ้น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของคำสอนของพุทธศาสนา

โอกาสปฏิบัติธรรม
วัดป่ากุลสุวรรณ์มีโปรแกรมปฏิบัติธรรมและธรรมเทศนาต่างๆ มากมายที่เหมาะกับทั้งผู้ปฏิบัติธรรมเบื้องต้นและผู้ปฏิบัติธรรมที่มีประสบการณ์ กิจกรรมเหล่านี้มักประกอบด้วย:

เซสชั่นการทำสมาธิแบบมีคำแนะนำ : เรียนรู้เทคนิคการเจริญสติภายใต้การแนะนำของพระภิกษุผู้มีประสบการณ์
การเดินสมาธิ : สำรวจสติในขณะเคลื่อนไหวผ่านเส้นทางป่าอันเงียบสงบ
หลักธรรมคำสอน : เข้าใจหลักการพื้นฐานเช่น สติ สมาธิ ปัญญา และความไม่เที่ยง
สถานที่พักผ่อนอันเงียบสงบ : ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอันเงียบสงบซึ่งความเงียบจะช่วยให้ตระหนักรู้ในตนเองได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
พระสงฆ์ที่วัดเข้าถึงได้ง่ายและสนับสนุนให้ผู้มาเยี่ยมชมถามคำถามและเรียนรู้ผ่านการสนทนา ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเติบโตทางจิตวิญญาณ

การเตรียมตัวสำหรับการมาเยือนของคุณ
การแต่งกายสุภาพ : สวมเสื้อผ้าที่เรียบง่าย สบาย และสุภาพ เช่น ชุดสีขาว เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมเนียมของวัด
สิ่งที่จำเป็น : สิ่งของต่างๆ เช่น เบาะรองนั่งสมาธิ ขวดน้ำ และสมุดบันทึกสำหรับจดบันทึกในระหว่างการสนทนาธรรม จะช่วยเสริมประสบการณ์ของคุณได้
ปฏิบัติตนให้เงียบ : เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งแวดล้อม ควรปฏิบัติตนให้เงียบมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ระหว่างที่คุณเข้าพัก

สำรวจกาญจนบุรี
หลังจากเยี่ยมชมวัดป่ากุลสุวรรณแล้ว ควรใช้โอกาสนี้สำรวจสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ของกาญจนบุรี เช่น น้ำตกเอราวัณและสะพานข้ามแม่น้ำแคว อันเก่าแก่ สถานที่เหล่านี้จะช่วยเติมเต็มการเดินทางทางจิตวิญญาณของคุณด้วยความงามตามธรรมชาติและความสำคัญทางประวัติศาสตร์

การไปเยี่ยมชมวัดป่ากุลสุวรรณ์นั้นไม่ใช่แค่การเดินทางเท่านั้น แต่ยังเป็นการเดินทางสู่หัวใจแห่งความมีสติและความสงบภายใน ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่มากประสบการณ์หรือเป็นผู้ที่สนใจในพระพุทธศาสนา วัดแห่งนี้จะมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจไม่รู้ลืมของความสมดุลและความชัดเจนในอ้อมกอดของธรรมชาติ

12
หมอประจำบ้าน: อีดำอีแดง (Scarlet fever)

อีดำอีแดง (ไข้อีดำอีแดง ก็เรียก) เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ทำให้มีผื่นแดงขึ้นตามตัวร่วมกับทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในเด็กอายุ 5 -15 ปี ในปัจจุบันพบโรคนี้น้อยลง เนื่องจากผู้ป่วยมักได้รับยาปฏิชีวนะตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า บีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ (group A beta-hemolytic Streptococcus) สายพันธุ์ที่สร้างสารพิษ (erythrogenic exotoxin) ออกมาทำให้เกิดผื่นแดงตามผิวหนัง เชื้อมีอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือโดยการสัมผัสมือผู้ป่วย สิ่งของ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อ

ระยะฟักตัว 2-7 วัน

โรคนี้มักเกิดร่วมกับทอนซิลอักเสบ แต่บางครั้งอาจเกิดร่วมกับการติดเชื้อที่ตำแหน่งอื่น เช่น ผิวหนัง แผลผ่าตัด มดลูก เป็นต้น

อาการ

แรกเริ่มจะมีไข้สูง หนาวสั่น เจ็บคอมาก ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีอาการปวดท้องหรืออาเจียนร่วมด้วย

1-2 วันหลังมีไข้จะมีผื่นแดงขึ้นที่คอ หน้าอก และรักแร้ แล้วกระจายไปตามลำตัวและแขนขาภายใน 24 ชั่วโมง ผื่นมีลักษณะคล้ายกระดาษทราย อาจมีอาการคัน ต่อมาผื่นจะปรากฏเด่นชัด (เข้มข้น) ในบริเวณร่องหรือรอยพับของผิวหนัง (โดยเฉพาะที่คอ รักแร้ ข้อพับแขน ขาหนีบ ข้อพับขา) แล้วต่อมาในบริเวณเหล่านี้จะปรากฏเป็นจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง ซึ่งเรียงเป็นเส้น (เนื่องจากการแตกของหลอดเลือดฝอย) เรียกว่า “เส้นพาสเตีย (Pastia’s lines)”

ผื่นจะเริ่มจางหายหลังขึ้นได้ 3-4 วัน หลังจากผื่นจางได้ประมาณ 1 สัปดาห์จะมีอาการลอกของผิวหนัง มักเห็นเด่นชัดที่บริเวณรักแร้ ขาหนีบ ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าซึ่งอาจเห็นลอกเป็นแผ่น ส่วนตามลำตัวมักลอกเป็นขุย อาการผิวหนังลอกเป็นลักษณะจำเพาะของโรคนี้ บางรายอาจลอกติดต่อกันนานถึง 6 สัปดาห์

ภาวะแทรกซ้อน

เช่นเดียวกับทอนซิลอักเสบจากบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ เช่น หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบ ฝีทอนซิล ข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไข้รูมาติก หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน เป็นต้น

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

มักตรวจพบไข้มากกว่า 38.3 องศาเซลเซียส ทอนซิลบวมแดง และมักมีแผ่นหรือจุดหนองขาว ๆ เหลือง ๆ ต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอด้านหน้าหรือใต้ขากรรไกรบวมโตและเจ็บ

หน้าแดง แต่บริเวณรอบปากซีด

ในช่วง 2 วันแรกของไข้ อาจพบลิ้นมีฝ้าขาวปกคลุมและมีตุ่มแดงยื่นขึ้นเป็นตุ่ม ๆ สลับคล้ายผลสตรอว์เบอร์รี เรียกว่า ลิ้นสตรอว์เบอร์รีขาว (white strawberry tongue)

ในช่วงหลังวันที่ 4 ของไข้ ฝ้าขาวที่ลิ้นจะลอกเป็นสีแดง ทำให้เห็นเป็นลิ้นสตรอว์เบอร์รีแดง (red strawberry tongue)

ตามผิวหนังจะพบผื่นแดงคล้ายกระดาษทราย และพบเส้นแดงคล้ำตามรอยพับ (เช่น ข้อศอก ขาพับเรียกว่า "เส้นพาสเตีย (Pastia’s lines)") ในช่วงประมาณสัปดาห์แรก และในช่วงปลายสัปดาห์ที่ 2 ไปแล้วมีอาการผิวหนังลอก

ในรายที่อาการไม่ชัดเจน อาจต้องส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจหาเชื้อด้วยวิธี Rapid strep test, การเพาะเชื้อ

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาแบบเดียวกับทอนซิลอักเสบ

ที่สำคัญ คือ ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินวี, อะม็อกซีซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน, ร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น

ผลการรักษา เมื่อกินยาปฏิชีวนะได้ครบตามที่แพทย์แนะนำ ก็มักจะหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ถ้ากินไม่ครบหรือได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา ซึ่งหากกลายเป็นหน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน หรือไข้รูมาติก ก็อาจเป็นเรื้อรังหรือมีภาวะร้ายแรงได้

การดูแลตนเอง

หากมีอาการไข้ เจ็บคอ และผื่นขึ้นตามตัว หรือสงสัยว่าเป็นอีดำอีแดง ควรปรึกษาแพทย์ หากตรวจพบว่าเป็นอีดำอีแดง ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนี้

    พักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ ห้ามอาบน้ำเย็น และใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง
    กินอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำซุป นม น้ำหวาน
    กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ (ผสมเกลือป่นประมาณ 1 ช้อนชา หรือ 5 มล. ในน้ำอุ่น 1 แก้ว) วันละ 2-3 ครั้ง
    ถ้าเจ็บคอมากให้ดื่มน้ำเย็นหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ หรืออมก้อนน้ำแข็ง
    กินยาบรรเทาตามอาการ (เช่น ยาลดไข้) และกินยาปฏิชีวนะ (ในรายที่แพทย์วินิจฉัยว่าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย) ให้ครบตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด
    ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด

ควรกลับไปพบแพทย์ หากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อนี้

    มีอาการผิดสังเกตแทรกซ้อนตามมา เช่น ปวดศีรษะมาก ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว ชัก ปวดหู หูอื้อ กลืนลำบาก ปวดที่โหนกแก้มหรือหัวคิ้ว หายใจหอบ เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก ปวดบวมตามข้อ มีผื่นขึ้นตามตัว เท้าบวม ปัสสาวะสีแดง เป็นต้น
    ดูแลรักษา 3-4 วันแล้ว อาการไม่ดีขึ้น
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

เมื่อมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นอีดำอีแดงให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย อย่าใช้ของใช้ร่วมกับผู้ป่วยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการไอหรือจามรดผู้อื่น

ข้อแนะนำ

1. ควรเน้นให้กินยาปฏิชีวนะจนครบตามระยะที่กำหนด

2. ควรแยกผู้ป่วย จนกว่าจะให้ยาปฏิชีวนะไปแล้วอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จึงจะไม่แพร่เชื้อให้คนอื่น

3. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว


13
บริหารจัดการอาคาร: เคล็ดลับการฆ่าเชื้อโรคภายในบ้านของเราให้ได้ผลดีที่สุด

ในเรื่องของความสะอาด ภายในบ้าน ถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกายของเรา เพราะถ้าหากบ้านของเราเต็มไปด้วยเชื้อโรค ก็จะยิ่งทำให้คนในบ้านเจ็บป่วยได้ง่าย ยิ่งถ้าในบ้านมีเด็กและผู้สูงอายุด้วยแล้ว ยิ่งไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน การทำความสะอาดบ้าน ถือว่าเป็นงานหลักที่แม่บ้านทุกๆ บ้านต้องทำเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้บ้านที่เป็นพื้นที่ปลอดเชื้อโรคของทุกคนในครอบครัว และเพื่อให้ห่างไกลเชื้อโรคและฝุ่นละอองต่างๆ

ซึ่งเป็นต้นเหตุหลักของโรคภูมิแพ้ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องให้ความสำคัญในการทำความสะอาดเพื่อฆ่าเชื้อโรคภายในบ้านให้มากยิ่งขึ้น เพราะโอกาสที่จะไปสัมผัสเชื้อโรคเข้ามาในบ้าน สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันได้ว่าไวรัสโควิดจะมีชีวิตบนพื้นผิวต่างๆ จะสามารถอยู่ได้นานแค่ไหน

อาจจะเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมง จนถึงมีชีวิตอยู่เป็นวัน ระยะเวลาขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ความชื้นและประเภทผิวสัมผัสที่ไวรัสเกาะอยู่ด้วย แตีเพื่อความสบายในของคนในบ้าน ก็ควรที่จะป้องกันไว้ก่อน เพราะถือว่าอันตรายมาก ดังนั้น วันนี้ทางเราจะมาแนะนำเคล็ดลับการฆ่าเชื้อโรคภายในบ้านของเราให้ได้ผลดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยของคนที่เรารักในช่วงโควิดระบาด

 ต้องบอกก่อนว่า เชื้อโควิดมีโครงสร้างที่เปราะบาง สามารถใช้ความร้อนหรือสารเคมีทั่วไปในการทำความสะอาด เช่น ผงซักฟอก สบู่ น้ำยาล้างจาน  น้ำยาฟอกขาว ก็สามารถฆ่าไวรัสได้แล้ว โดยทุกครั้งที่ทำความสะอาดควรใส่ถุงมือที่ใช้แล้วทิ้ง หลังจากนั้นเพื่อความสบายใจหลังการทำความสะอาดสามารถใช้น้ำยาฆ่าเชื้อตามได้อีก สำหรับพื้นผิวที่มีการปนเปื้อนหรือคาดว่าจะมีไวรัสเกาะติดแล้ว

สามารถใช้อุปกรณ์และสารทำความสะอาดบ้านทั่วไป โดยใช้กระดาษทิชชู ผ้าถูพื้น หรือผ้าทำความสะอาดแบบเปียกที่ใช้แล้วทิ้ง ทำความสะอาดก็สามารถฆ่าไวรัสได้ ถ้าใช้ผ้าถูพื้นต้องซักผ้าผืนนั้นทันทีหลังการทำความสะอาด น้ำยาซักผ้าทั่วไปก็สามารถฆ่าไวรัสได้ แต่ข้อควรระวังคือล้างมือให้สะอาดทั้งทุกครั้งด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดทุกครั้งหลังจากถอดถุงมือ และระวังอย่าให้มือสัมผัสดวงตา จมูก และปาก เพราะระหว่างการทำความสะอาด อาจจะทำให้ไวรัสเกิดการกระจายจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งได้ สำหรับ เสื้อผ้าที่เราใส่ออกไปข้างนอก ที่เสี่ยงอาจจะเกิดการปนเปื้อนจากมลพิษต่างๆ หรือเชื้อโรคต่างๆนั้น

ถ้าหากใช้เครื่องซักผ้าให้ตั้งค่าเป็นน้ำร้อนและต้องตากหรืออบให้แห้งสนิท ข้อควรระวังคืออย่าสะบัดผ้าก่อนซักเพราะอาจกระจายเชื้อจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งได้ และอย่าลืมล้างมือทุกครั้งหลังจากสัมผัสผ้าเหล่านั้น หรือถ้าหากอยากฆ่าเชื้อภายในบ้านทั้งหลัง สามารถฆ่าเชื้อไวรัสด้วยการอบโอโซน จะช่วยให้เชื้อไวรัสตายทั้งหมด ใช้เวลาอบประมาณ 30นาที-1 ชั่วโมง โดยสามารถใช้บริการจากบริษัทที่มีความผู้เชี่ยวชาญ

เพื่อให้แน่ใจว่าการอบโอโซนจะมีประสิทธิภาพ และฆ่าเชื้อโรคได้จริง ซ่งข้อดีของการอบโอโซนคือ ไวรัสตายแบบสิ้นซาก เพราะโอโซนมีการแตกตัวได้ไว ไม่มีสารเคมีตกค้างและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือถ้าต้องทำความสะอาดเอง สามารถใช้น้ำยาเหรือผลิตภัณฑ์ ในการทำความสะอาดที่มีสูตรฆ่าเชื้อไวรัสได้ด้วย หรือจะใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคอเนกประสงค์ ฆ่าเชื้อได้ทั้งไวรัส เชื้อราและแบคทีเรีย ใช้ได้ในทุกสภาพพื้นผิว ปลอดภัยและเพิ่มสุขอนามัยให้กับทุกคนในครอบครัว ปลอดเชื้อโรคได้อย่างแน่นอน

 หากใครสนใจอยากทำความสะอาดบ้านเรือนหรือตัวอาคารแบบครบวงจร สามารถติดต่อขอคำแนะนำได้เพราะทางเรามีบริการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ หรืออาคารสำนักงานต่างๆ รวมไปถึงบ้านเรือน เพื่อให้มีความสะอาด ปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน ทั้งยังมีบริการทำความสะอาดภายในห้องพักผู้ป่วย บริการตัดแต่งสวนและภูมิทัศน์ บริการกำจัดแมลง บริการพ่นฆ่าเชื้อ เรียกได้ว่ามีบริการครอบคลุมทั้งหมดในเรื่องของการทำความสะอาด เพื่อให้ตอบโจทย์ต่อความตร้องการของลูกค้า พนักงานของเรายังได้ผ่านการอบรมในเรื่องของการทำความสะอาด ให้สามารถให้บริการได้อย่างมืออาชีพ เพื่อให้ทุกคนได้ปลอดภัยจากเชื้อโรคและได้อยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกค้า

14
ไหว้พระ ทำบุญ วัดไลย์ วัดสวย ลพบุรี ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ สักการะ พระศรีอาริย์ อันศักดิ์สิทธิ์

สายบุญตามมาทางนี้เร็ววว เราจะพาทุกคนไปเยือน วัดเก่าแก่ ที่ทั้งสวยงดงาม รวมถึงเป็นแหล่งรวมของโบราณวัตถุย่อมๆ ก็ได้เลยค่า นั่นก็คือ วัดไลย์ เป็น วัดสวย ของ ที่เที่ยวลพบุรี นั่นเองค่า เราตามพิกัดสายบุญนี้ไปเที่ยวกันใกล้ๆ กรุงเทพ กันที่นี่เลยดีกว่าค่า

ไฮไลท์ ของ วัดไลย์

     วัดไลย์ ตั้งอยู่ริมน้ำบางขาม ตำบลเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ซึ่งที่นี่นับว่าเป็นวัดเก่ามีมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นแล้ว ประมาณปี พ.ศ. 1800 ค่ะ โดยในช่วงสมัย รัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศนั้น ก็ทรงได้ปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ และก็ยังมีพระวิหารสวยๆ ที่มีเป็นสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาตอนต้นอีกด้วย

     นั่นก็คือมีลักษณะเป็นแบบเจาะช่องผนังแทนหน้าต่างค่ะ ด้านในก็จะมีพระประธานขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่ โดยจะเป็นปางมารวิชัยที่ลงรักปิดทองอย่างงดงามค่ะ รวมไปถึงมีรูปหล่อ พระศรีอาริย์ ที่อยู่ในมณฑป ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพนับถือกันมากเลยทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ก็มีซุ้มเรือนแก้วให้ได้ชมเช่นเดียวกันค่ะ

      อีกทั้งยังมีโบราณสถานสำคัญ ซึ่งก็คือ วิหารเก้าห้อง ที่มีประติมากรรมฝาผนังเป็นปูนปั้น เกี่ยวกับ ทศชาติชาดก ด้วยค่ะ และยังมี พิพิธภัณฑ์ ที่รวบรวมโบราณวัตถุเอาไว้อีกมากมายเลยค่ะ ซึ่งโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์นี้ เป็นของเก่าแก่ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่นำมาถวาย วัดไลย์ เอาไว้นั่นเองค่ะ และมีห้องสมุดประชาชนให้เราได้ไปนั่งอ่านหาความรู้อีกด้วยค่ะ

     นอกจากนี้ทุกวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 วัดไลย์ จะมี ประเพณีชักพระศรีอาริย์ ทางสถลมารค ซึ่งจะมีการจัดขบวนอัญเชิญพระศรีอาริย์ขึ้นบุษบก และก็จะช่วยกันชักลากแห่ไปตามหมู่บ้านต่างๆ นั่นเองค่ะ ส่วนในช่วงกลางคืนนั้นก็มีมหรสพสมโภชตลอดงาน เรียกได้ว่าเป็นอีกงานบุญที่ห้ามพลาดเลยทีเดียวค่ะ   
ข้อมูล วัดไลย์ ลพบุรี

    ที่อยู่ : ตำบลเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี
    เปิดให้เข้าชม : 09.00-16.00 น.



15
townhouse บ้านชีวา วิลเลจ ทาวน์ (Baanchiva Village Town)
เริ่มต้น 1.2 ลบ.

บ้านชีวา วิลเลจ ทาวน์ (Baanchiva Village Town)
Simply Your Perfect Living สะท้อนความเรียบง่ายในการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์ของคุณ มากด้วยความลงตัวผ่านงานออกแบบ สไตล์ Minimal Muji เรียบง่ายด้วยสีขาวสะอาดตาและสีโทน Minimal ที่ช่วยขับความอบอุ่นและความโปร่งโล่งให้กับบ้าน สร้างความสุขให้กับคุณและครอบครัวได้ทุกวัน

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ            บ้านชีวา วิลเลจ ทาวน์ (Baanchiva Village Town)
 เจ้าของโครงการ      แอล.เอช.เอ็ม.พร็อพเพอร์ตี้
 ราคา                  เริ่มต้น 1.2 ลบ.

 ประเภทบ้าน           บ้านเดี่ยว, บ้านแฝด, ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล          บ้านพักตากอากาศ, บ้านลักษณะทำเลอื่น, บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนบ้าน           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 แบบบ้านทั้งหมด     7 แบบ
  เนื้อที่บ้าน             ตั้งแต่ 18.8 ถึง 51.9 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย           ตั้งแต่ 58.35 ถึง 133.85 ตร.ม.
 จำนวนชั้น            1 ชั้น
 หน้ากว้าง           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน    ตั้งแต่ 2 ถึง 3 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ    ตั้งแแต่ 1 ถึง 2 คัน
 สาธารณูปโภค     สวนสาธารณะ, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, อื่นๆ (สำนักงานนิติบุคคล, รั้วเหล็กแหลมรอบโครงการ), Keycard System

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน     เมืองราชบุรี
 ที่ตั้ง       ม.13 ตำบลเกาะพลับพลา อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี 70000

 ขนส่งสาธารณะ             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
โรงเรียนวัดดอนตลุง ( ≈ 1 กม.)
โรงเรียนอนุบาลภัททณี ( ≈ 4 กม.)
โรงเรียนวัดบางลี่ ( ≈ 4.1 กม.)
โรงเรียนดรุณาราชบุรีโพลีเทคนิค ( ≈ 4.8 กม.)
โรงเรียนอนุบาลภัททณี ( ≈ 4.9 กม.)
โรงเรียนพิบูลย์สงครามอุปถัมภ์ ( ≈ 4.9 กม.)
โรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์ ( ≈ 5.1 กม.)
โรงเรียนสุริยวงศ์ ราชบุรี ( ≈ 5.2 กม.)
โรงเรียนอนุบาลนิยม ( ≈ 6.2 กม.)
โรงเรียนดรุณาราชบุรีวิเทศศึกษา ( ≈ 6.2 กม.)

 ตลาดกำนันหลัก ( ≈ 3.7 กม.)
โฮมโปร ราชบุรี ( ≈ 3.8 กม.)
ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต สาขาสี่แยกต้นสำโรง ( ≈ 3.9 กม.)
บิ๊กซี ราชบุรี ( ≈ 4.5 กม.)
ท็อปส์ มาร์เก็ต สาขาโรบินสัน ราชบุรี ( ≈ 4.7 กม.)
ท็อปส์ มาร์เก็ต โรบินสัน ราชบุรี ( ≈ 4.7 กม.)
โรบินสัน ราชบุรี ( ≈ 4.7 กม.)
ตลาดเก่าโคยกี๊ ราชบุรี ( ≈ 4.9 กม.)
ตลาดราชพัสดุ กรมธนารักษ์ ( ≈ 5 กม.)
ซีเจ เอ็กซ์เพรส สาขา เขางู ( ≈ 1 กม.)

 สวนสาธารณะจักรีอนุสรณ์สถาน ราชบุรี ( ≈ 5.2 กม.)
รอยัลราชบุรีกอล์ฟคลับ ( ≈ 8.6 กม.)
สวนสาธารณะเทศบาลเมืองโพธาราม ราชบุรี ( ≈ 15.1 กม.)
กรีนฟิลด์กอล์ฟไดร์ฟวิ่งเรนจ์ ( ≈ 19.3 กม.)

โรงพยาบาล - กรุงเทพเมืองราช ( ≈ 3.7 กม.)
โรงพยาบาลเมืองราช ( ≈ 3.7 กม.)
โรงพยาบาลแม่และเด็กจังหวัดราชบุรี ( ≈ 4.6 กม.)
โรงพยาบาลราษฎร์ยินดี ( ≈ 5.3 กม.)
โรงพยาบาลราชบุรี ( ≈ 5.3 กม.)

16
ออล นิว ไทรทัน: FIAT Fullback Cross กระบะแต่งหล่อ…คู่แฝด Triton เท่ถูกใจสาวก

1 ปีแล้วที่ FIAT Fullback กระบะฝาแฝด Mitsubishi Triton ได้รับการตอบรับอย่างดีจนยอดขายดีวันดีคืน ทั้งใน ยุโรป ตะวันออกลาง แอฟริกา และบางประเทศ

ล่าสุด เฟียต อังกฤษ เผยรุ่นตกแต่งหล่อจากโรงาน เสริมทางเลือกคนใจลุย FIAT Fullback Cross ออพชั่นภายนอกหล่อเท่ารุ่นปกติตั้งแต่ กระจังหน้าแนวนอนพร้อมโลโก้ FIAT ไฟหน้าแบบ BI-Xenon และไฟ LED Daytime กับกันชนหน้าทรงสปอร์ตและล้ออัลลอยดีไซน์แตกต่างจาก ต้นฉบับ สำหรับรุ่น Cross เข้มด้วยขุดแต่ง Black Package ทั้งคั้น ตั้งแต่ กระจังหน้า คิ้วขอบล้อ กระจกมองข้าง ที่เปิดประตู บันไดข้าง และสปอร์ตบารทรงบาดใจออกแบบเฉพาะรุ่น

ภายในมีมาเต็มๆทั้ง กระจกไฟฟ้า เซ็นทรัลล็อค พวงมาลัยมัลติฟงัก์ชั่น 3 ก้าน เครื่องปรับอากาศ Auto ทั้ง แบบ Single Zone Climate และ Dual Zone Climate พร้อมความปลอดภัยครบสูตร เช่น ระบบระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน Lane Departure Warning ระบบ Cruise Control กล้องมองหลัง มั่นใจทุกครั้งในการถอยจอด และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน hill start assist

พลัง 180 แรงม้า แรงบิด 430 นิวตันเมตร ได้จากขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลจาก Mitsubishi Triton ขนาด 2.4 ลิตร รุ่น 4N15 สามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกมากถึง 3,100 กก.และมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด กับ เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อม Sport Mode

พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Super Select 4WD II ปรับเปลี่ยนได้ทั้ง 2H, 4H, 4HLc และ 4LLc พร้อมระบบ locking central differential และเจ้ากระบะแกร่งสายพันธุ์อิตาลี จากค่าย FIAT เริ่มจำหน่ายในเดือนนี้ สนนราคาเย้ายวนชาวเมืองผู้ดี เริ่มต้น £26,495 - £27,895 หรือราว 1,158,000 – 1,219,000 บาท

17
เด็กที่เข้ารับการจัดฟันเด็ก สามารถใช้น้ำยาบ้วนปากได้หรือไม่

การทำความสะอาดช่องปากและฟัน สำหรับเด็กนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะการที่เด็กดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ตั้งแต่ยังมีน้ำน้ำนมนั้น เป็นเรื่องที่ดี เพราะฟันน้ำนม ส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ นั่นหมายความว่า ถ้าเด็กที่สุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง ก็จะทำให้ฟันแท้ขึ้นในตำแหน่งที่เหมาะสมได้ มีรูปร่างฟันที่สวยงาม พ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่าน ให้ความสำคัญกับสุขภาพฟันของลูก เพราะคิดว่า การที่ลูกมีฟันที่สวยงาม มีสุขภาพฟันที่ดี ก็จะทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ และเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี


ดังนั้น การที่เราได้พาลูกเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกปี เป็นเรื่องที่สมควรทำ เพื่อปลูกฝังให้ลูกได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน และการที่พาเด็กไปพบทันตแพทย์เพื่อทำความสะอาดฟัน ก็เป็นการลดปัญหาที่อาจจะทำให้เกิดฟันผุได้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การทีลูกของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีได้นั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรสอนหรือแนะนำวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันที่ถูกวิธีให้กับเด็ก นอกจากการแปรงฟันที่ถูกวิธีแล้ว การทำความสะอาดด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น การใช้ไหมขัดฟัน การใช้น้ำยาบ้วนปาก ก็เป็นการทำความสะอาดฟันที่มีประสิทธิภาพมากเช่นเดียวกัน เพราะบางครั้งเด็กอาจจะทำความสะอาดฟันได้ไม่ทั่วถึง


ซึ่งไหมขัดฟันหรือน้ำยาบ้วนปาก ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้การทำความสะอาดฟันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ในแง่ของเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่านอาจจะสงสัยว่า ถ้าเด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็กจะสามารถใช้น้ำยาบ้วนปากได้หรือไม่ และเด็กควรจะใช้น้ำยาบ้วนปากแบบไหน ซึ่งในปัจจุบัน ตามท้องตลาดมีน้ำยาบ้วนปากจำหน่ายด้วยกันหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งก็มีความแตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกน้ำยาบ้วนปาก สำหรับเด็กที่เข้ารับการจัดฟันก็ควรที่จะเลือกให้เหมาะสมด้วย


วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของการใช้น้ำยาบ้วนปาก สำหรับเด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ว่าสามารถใช้ได้หรือไม่ และควรที่จะเลือกน้ำยาบ้วนปากแบบใด ให้เหมาะสมกับช่วงอายุและวัยของเด็ก ก่อนอื่นเราจะมาอธิบายการใช้น้ำยาบ้วนปากในเด็กก่อน ซึ่งโดยปกติแล้วน้ำยาบ้วนปาก ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี เพราะเด็กอาจจะกลืนเข้าไปและอาจจะทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ  เพราะน้ำยาบ้วนปากมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์สูงแต่ ส่วนใหญ่แล้วน้ำยาบ้วนปากสำหรับเด็กมักจะใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์  โดยอาจให้เด็กใช้ในกรณีที่ลูกฝันผุมากๆ หรือเด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ที่อาจจะทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ทั่วถึง สรุปก็คือ เด็กที่เข้ารับการจัดฟันเด็ก

สามารถใช้น้ำยาบ้วนปาก เพื่อทำความสะอาดฟันในส่วนที่เข้าถึงยาก แต่พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะระมัดระวัง ควรอ่านข้อควรระวังและคำแนะนำของน้ำยาบ้วนปากให้ชัดเจน ที่สำคัญควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนที่จะให้เด็กใช้น้ำยาบ้วนปาก เพื่อความปลอดภัยทั้งในแง่ของสุขภาพช่องปากและฟัน และสุขภาพร่างกายของเด็กด้วย สำหรับการใช้น้ำยาบ้วนปากสำหรับเด็กนั้น ควรใช้ในเด็กที่มีอายุตั้ง 6 ปีขึ้นไป ที่สามารถบ้วนน้ำทิ้งได้ ควรใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุในอนาคต เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้ ควรใช้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ในเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน การใช้น้ำยาบ้วนปากก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรเลือกน้ำยาบ้วนปากที่เหมาะสมกับเด็กด้วย


ทั้งนี้ หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากให้ลูกเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถพาเด็กมาพบทันตแพทย์จัดฟันที่คลินิกได้ เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในด้านการจัดฟันในเด็ก จึงทำให้มั่นใจได้ว่า ลูกของท่านจะได้รับการรักษาที่ปลอดภัยและมีมาตรฐาน รวมไปถึงมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

18
Doctor At Home: โรคลมชักในเด็ก ปัญหาที่ผู้ใหญ่ไม่ควรมองข้าม  

โรคลมชัก (Epilepsy) เป็นโรคทางประสาทที่พบบ่อยในเด็กไทย ซึ่งโรคนี้สามารถส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก ทั้งด้านพัฒนาการของเด็ก การเรียน และการใช้ชีวิตประจำวัน อีกทั้งอาการชักที่มักเกิดอย่างฉับพลันอาจนำไปสู่อุบัติเหตุและการบาดเจ็บที่รุนแรง

วัยเด็กเป็นช่วงวัยแห่งการเรียนรู้และเติบโต อาการของโรคลมชักในเด็กอาจขัดขวางพัฒนาการตามช่วงวัยและตัดโอกาสที่สำคัญของเด็ก โดยข้อมูลจากกรมอนามัยในปี 2562 พบว่าโรคลมชักในเด็กนับเป็น 1 ส่วน 3 ของผู้ป่วยโรคลมชักทั่วประเทศ (500,000 คน) ซึ่งอาจหมายความว่ามีเด็กราว 1 แสน 7 หมื่นคนที่ต้องการรักษาและเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็น

โรคลมชักในเด็กส่วนใหญ่ (ร้อยละ 60) มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ด้วยยากันชัก ขณะที่ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยเด็กมีอาการดื้อยาจึงต้องรักษาด้วยการผ่าตัด หากไม่สามารถผ่าตัดได้ แพทย์อาจรักษาด้วยการกินอาหารแบบคีโตน (Ketogenic Diet) และการฝังเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อยับยั้งอาการชัก


สาเหตุและอาการของโรคลมชักในเด็ก

สาเหตุของโรคลมชักในเด็กจะต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน เช่น ความผิดปกติของสมองแต่กำเนิด ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ การบาดเจ็บบริเวณศีรษะ เนื้องอกในสมอง พันธุกรรม และโรคอื่น ๆ ในผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ไม่สามารถป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้ยาก การรักษาโรคลมชักจึงมุ่งเน้นไปที่การรักษาอาการชัก

อาการของโรคลมชักไม่ได้หมายถึงลมบ้าหมูหรืออาการชักเกร็งทั้งร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอาการอื่น ๆ เช่น อาการกระตุกที่แขนและขา อาการเหม่อลอย สูญเสียสติ การรับรู้ และการตอบสนองไปชั่วขณะ เป็นต้น ซึ่งอาการอาจต่างกันไปตามช่วงอายุ สาเหตุ การตอบสนองต่อการรักษา และปัญหาสุขภาพด้านอื่น โดยอาการของโรคมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

โรคลมชักในเด็กสามารถพบได้ตั้งแต่แรกเกิด วัยทารก เด็กเล็กไปจนถึงวัยรุ่นหรือหลังจากนั้น ขึ้นอยู่กับชนิดและสาเหตุของโรค เด็กที่เป็นโรคลมชักบางคนอาจไม่แสดงอาการที่แน่ชัด แต่จะพบความผิดปกติบางอย่างในชีวิตประจำวัน เช่น ผวา สะดุ้ง ผงกหัว (Infantile Spasms) เป็นต้น จึงอาจทำให้สังเกตเห็นอาการได้ไม่ชัดเจน หากพ่อแม่พบอาการในข้างต้นหรืออาการที่สื่อถึงความผิดปกติด้านร่างกายและสมอง ควรพาเด็กไปปรึกษาแพทย์


ผลกระทบของโรคลมชักในเด็ก

โรคลมชักส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเด็กทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อได้รับการวินิจฉัยล่าช้า หรือได้รับการรักษาและคำแนะนำที่ไม่เหมาะสม โดยอาการของโรคลมชักอาจส่งผลกระทบต่อเด็กในด้านต่อไปนี้

    อุบัติเหตุจากอาการชัก เช่น หกล้ม จมน้ำ รถชน หรืออุบัติเหตุอื่น ๆ ที่เกิดจากการสูญเสียการควบคุมร่างกาย และอาการเหม่อที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
    ปัญหาด้านพัฒนาการและการเรียนรู้
    ปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจ อย่างความเครียด โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า และการฆ่าตัวตาย เพราะอาการของโรคอาจทำให้เด็กรู้สึกแปลกแยกจากเพื่อนวัยเดียวกัน

นอกจากนี้ โรคลมชักอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตเมื่อเด็กโตขึ้น เช่น การเข้าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย การได้รับใบขับขี่ หรือมีผลต่ออาชีพ อย่างการถูกปฏิเสธเข้ารับทำงาน เพราะนายจ้างอาจมองว่าอาการของโรคลมชักส่งผลต่อการทำงานได้ ปัญหาในลักษณะนี้อาจทำให้หางานยากและทำให้เกิดปัญหาชีวิตด้านอื่นตามมา

แต่ในความเป็นจริง ผู้ป่วยโรคลมชักสามารถทำงานได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป มีเพียงบางอาชีพเท่านั้นที่แพทย์ให้ความเห็นว่าผู้ป่วยโรคนี้ไม่ควรทำ เพราะอาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ เช่น อาชีพที่ต้องขับขี่ยานพาหนะ อาชีพที่ทำงานกับเครื่องจักร และอาชีพอื่นที่ต้องจดจ่ออยู่กับงานตลอดเวลา เป็นต้น


โรคลมชักในเด็กส่วนใหญ่รักษาและควบคุมอาการได้

เพื่อลดผลกระทบจากโรคลมชัก การเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์ ตั้งแต่เริ่มมีสัญญาณของโรคจึงสำคัญและจำเป็นอย่างมาก ผู้ป่วยเด็กส่วนใหญ่มีโอกาสหายขาดจากโรคนี้ด้วยการใช้ยากันชัก (Antiseizure medication) ซึ่งถือเป็นการรักษาหลัก โดยต้องกินยากันชักต่อเนื่องจนไม่มีอาการชักเลยอย่างน้อย 2 ปี แพทย์จึงพิจารณาลดยากันชักจนหยุดใช้ยาได้

ยากันชักมีหลายชนิด โดยแพทย์จะวางแผนการรักษาและการใช้ยาอย่างปลอดภัยให้กับผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักควบคุมอาการชักได้ด้วยยากันชัก 1 ชนิด โดยแต่ละคนอาจตอบสนองต่อยาต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของอาการและสาเหตุ

ผู้ป่วยจึงควรใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด ห้ามหยุดยาเองโดยเด็ดขาด และระหว่างใช้ยาผู้ป่วยจำเป็นต้องติดตามอาการ ผลข้างเคียง และผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพราะการใช้ยากันชักอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น เวียนศีรษะ ผื่นแดง ปัญหาเกี่ยวกับการคิด และการพูด เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วย 1 ใน 3 ที่ดื้อต่อยากันชักมากกว่า 2 ชนิด ซึ่งการรักษาด้วยการเพิ่มยากันชักชนิดที่ 3 หรือมากกว่ามักคุมอาการชักได้น้อยมาก แพทย์จึงต้องพิจารณาการรักษาอาจรักษาด้วยวิธีอื่น ได้แก่


1. การผ่าตัดโรคลมชัก

ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยากันชัก แพทย์จะประเมินว่าสามารถการผ่าตัดสมองเพื่อรักษาโรคลมชักได้หรือไม่ โดยจำเป็นต้องพิจารณาถึงความปลอดภัยในการผ่าตัดเป็นรายบุคคล เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง จึงต้องใช้ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประสิทธิภาพการรักษาและการลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงหลังผ่าตัด


2. การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นประสาท VNS

เป็นการรักษาทางเลือกสำหรับโรคลมชักในเด็กที่ดื้อต่อยากันชักและแพทย์ประเมินแล้วว่าเด็กไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดสมองได้ โดยวิธีนี้แพทย์จะผ่าตัดเพื่อฝังเครื่องมือไว้ภายในผนังหน้าอก บางส่วนของอุปกรณ์จะเชื่อมไปยังศูนย์ควบคุมประสาทบริเวณคอ

เครื่องมือนี้จะกระตุ้นการทำงานของเส้นประสาทที่อยู่บริเวณคอเพื่อยับยั้งคลื่นสมองโดยอัตโนมัติ และเมื่อใช้ร่วมกับยากันชัก เครื่องมือนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยับยั้งอาการชัก ลดขนาดและจำนวนยากันชัก ลดอัตราการเสียชีวิตแบบเฉียบพลันจากโรคลมชัก และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้


3. การกินอาหารแบบคีโตน

ในผู้ป่วยเด็กที่ดื้อต่อยากันชักบางราย แพทย์อาจพิจารณาให้กินอาหารแบบคีโตน (Ketogenic Diet) ซึ่งเป็นการกินอาหารที่เน้นอาหารไขมันสูงและอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตต่ำ เนื่องจากพบว่าสารอาหารเหล่านี้ส่งผลต่อสารคีโตน (Ketones) ที่ช่วยปรับการทำงานของสมองและลดอาการชักได้

แต่การกินอาหารแบบคีโตนอาจไม่ได้เหมาะกับผู้ป่วยทุกคน เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง โดยเฉพาะในประเทศไทยที่กินข้าวเป็นอาหารหลัก ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนกินและทำตามที่แพทย์แนะนำอย่างเหมาะสม รวมกับใช้ยาตามแพทย์สั่งควบคู่ไปด้วย

นอกจากขั้นตอนการรักษาเหล่านี้แล้ว อาจมีการรักษาอื่นที่แพทย์อาจพิจารณาใช้ร่วมกับการรักษาหลัก สำหรับพ่อแม่ที่ทราบว่าลูกเป็นโรคลมชัก ควรดูแลเด็กตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด ทั้งการใช้ยา การควบคุมอาหาร และข้อควรระวังอื่น ๆ เพื่อลดปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการโรคลมชักในเด็ก

โรคลมชักในเด็กอาจปรากฏขึ้นช่วงอายุใดก็ได้ หากพ่อแม่เห็นสัญญาณของโรค อย่างอาการเหม่ออย่างฉับพลัน ยืนนิ่ง ไม่ตอบสนองต่อการเรียกชื่อ แขนหรือขาชักเกร็งกระตุก ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ เพราะการวินิจฉัยและเข้ารับรักษาเร็วอาจเพิ่มโอกาสในการรักษา ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ปกติ และลดความเสี่ยงของผลกระทบจากโรค

ในประเทศไทยมีหน่วยงานและองค์กรที่มีองค์ความรู้เกี่ยวกับโรคลมชักในเด็กโดยเฉพาะ อย่างสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีหรือโรงพยาบาลเด็ก ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเกี่ยวกับโรคในเด็กที่สามารถช่วยแนะนำพ่อแม่เกี่ยวกับการรักษาและดูแลเด็กที่มีอาการโรคลมชักได้อย่างถูกต้อง

19
มอเตอร์โชว์: ฮอนด้าบิ๊กไบค์ ยกทัพ CL500 และ Rebel เอาใจสายคัสตอม

ฮอนด้าบิ๊กไบค์ เอาใจสายคัสตอม ยกกองทัพรถแต่งหลากหลายสไตล์ทั้งสาย Scrambler อย่าง Honda CL500 และ Honda Rebel ในสไตล์ Custom Bobber เข้าร่วมประชันความเท่ อวดความคิดสร้าสรรค์ในงาน Bangkok Hot Rod Custom Show 2024 งานที่รวมรถคัสตอมที่ใหญ่ที่สุดให้ผู้ที่หลงใหลในการแต่งรถได้มาโชว์ผลงานสร้างสรรค์ในการออกแบบแนวทางการแต่งรถที่หลากหลายไม่ซ้ำใคร ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ฮอลล์ ที่ผ่านมา
 
 
ภายในงานพบกับรถฮอนด้าบิ๊กไบค์สายคัสตอมทั้ง Honda Rebel500 ที่มาในสไตล์คัสตอมบ๊อบเบอร์และ Honda CL500 ที่นำตัวคัสตอมอิดิชั่นอย่าง Retro Ray Edition และ Street Master Edition มาโชว์ความเป็น Scrambler ที่หลากหลายรูปแบบเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับชาวคัสตอม
 

นอกจากนี้ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ยังได้ร่วมกับสำนักแต่งชื่อดัง K-Speed สร้างสรรค์รถไฮไลท์พิเศษอย่าง New Honda CL500 Special Edition by Bangkok Hot Rod x K-Speed คัสตอมไบค์คันเดียวในโลก มาในคอนเซปต์ ก้าวร้าว ที่คัสตอมออกมาได้อย่างดุดัน และเท่ไม่เหมือนใคร เป็นรางวัลสุดพิเศษสำหรับผู้โชคดีที่เข้าร่วมงาน Bangkok Hot Rod Custom Show 2024 มูลค่ากว่า 400,000 บาท โดยประกาศผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

20
งานมอเตอร์โชว์: Porsche ส่งมอบรถยนต์จำนวน 310,718 คัน ทั่วโลกในปี 2024

ปอร์เช่ เอจี (Porsche AG) ได้ปรับโฉมผลิตภัณฑ์อย่างครอบคลุม โดยมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่มากถึง 4 โมเดล ในทั้งหมด 6 โมเดล ได้แก่ พานาเมร่า (Panamera), ไทคานน์ (Taycan), 911 และ มาคันน์ (Macan) สำหรับ ปอร์เช่ (Porsche) การเติบโตใน 4 จาก 5 ภูมิภาคทั่วโลกได้ทำสถิติใหม่ครั้งสำคัญ สัดส่วนของรถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 22 เป็น 27 เปอร์เซ็นต์ และเกือบครึ่งหนึ่งของรถเหล่านี้เป็นรถพลังงานไฟฟ้าล้วน
 
ผู้ผลิตรถสปอร์ตแสดงให้เห็นถึงการตั้งตัวที่มั่นคงในปี 2024 และส่งมอบรถยนต์จำนวน 310,718 คัน ซึ่งลดลงเล็กน้อยเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ข้อเท็จจริงที่น่ายินดีอีกประการหนึ่งคือ ลูกค้า ปอร์เช่ (Porsche) กำลังให้ความสนใจในการปรับแต่งรถยนต์ของพวกเขามากขึ้น โดยการเลือกอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมจากอุปกรณ์มาตรฐานตามความต้องการส่วนบุคคล
 
ปอร์เช่ (Porsche) เปิดตัวยนตรกรรมสปอร์ตที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในปี 2024 รุ่นที่สอง นั่นคือ มาคันน์ (Macan) รุ่นใหม่ เดทเลฟ วอน เพลเทน (Detlev von Platen) สมาชิกคณะกรรมการบริหารฝ่ายการขายและการตลาดของปอร์เช่ เอจี (Porsche AG) กล่าวว่า "การเปิดตัวรถรุ่นนี้ทำให้เราตื่นเต้นมาก ผมจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีการส่งมอบ มาคันน์ (Macan) รุ่นพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดมากกว่า 18,000 คันให้กับลูกค้าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยรวมแล้วเราพิสูจน์ให้เห็นว่าเรามีความแข็งแกร่งมากในปี 2024 แม้ในสภาพแวดล้อมทางการตลาดที่ท้าทาย เราลงทุนอย่างมากในแบรนด์ของเราและยินดีที่เห็นยอดการจำหน่ายของเรายังคงมีความสมดุลในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก"

ปอร์เช่ (Porsche) เติบโตขึ้นใน 4 ภูมิภาคจาก 5 ภูมิภาคทั่วโลก
ในทวีปยุโรป (ยกเว้นประเทศเยอรมนี) ปอร์เช่ (Porsche) ส่งมอบรถยนต์เป็นจำนวน 75,899 คันในปีที่แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 8 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในตลาดบ้านเกิดอย่างประเทศเยอรมนี มีลูกค้าจำนวน 35,858 คนที่ได้รับรถของตนเองไปแล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นมากถึง 11 เปอร์เซ็นต์ สำหรับทวีปอเมริกาเหนือยังคงเป็นภูมิภาคที่มีการจำหน่ายปอร์เช่ (Porsche) สูงที่สุด โดยมียอดการส่งมอบ 86,541 คัน เพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในประเทศจีน มีการส่งมอบรถยนต์ 56,887 คัน (-28 เปอร์เซ็นต์) การลดลงนี้ส่วนใหญ่เกิดจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ท้าทายในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตาม ปอร์เช่ (Porsche) ยังคงยึดมั่นในแนวทางการขายที่เน้นคุณค่า จุดมุ่งหมายคือการสร้างความสมดุลระหว่างความต้องการหรืออุปสงค์และปริมาณการขายหรืออุปทานนี้ ภูมิภาคต่างประเทศและตลาดเกิดใหม่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเติบโต 6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีการส่งมอบรถยนต์ทั้งหมด 55,533 คันในภูมิภาคนี้
 
มาคันน์ (Macan) รุ่นใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน
ต้นปีนี้ มาคันน์ (Macan) รุ่นใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้เฉลิมฉลองการเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ประเทศสิงคโปร์ และได้มีการเปิดตัวในตลาดต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน จนถึงสิ้นปี 2024 มีการส่งมอบรถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้ารุ่นนี้แล้วทั้งหมด 18,278 คัน ในหลายประเทศนอกสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตาม ปอร์เช่ (Porsche) ยังคงนำเสนอ มาคันน์ (Macan) รุ่นที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปควบคู่ไปกับรุ่นพลังานไฟฟ้า โดยมีการส่งมอบรถยนต์รุ่นเครื่องยนต์สันดาปไปทั้งหมด 64,517 คัน รวมแล้ว ปอร์เช่ (Porsche) ส่งมอบ มาคันน์ (Macan) ไปทั้งหมด 82,795 คันในปี 2024 ซึ่งลดลง 5 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยสามารถอธิบายการลดลงนี้ได้จากการยกเลิกการผลิต มาคันน์ (Macan) รุ่นเครื่องยนต์สันดาปในยุโรปและการเปิดตัวรุ่นพลังงานไฟฟ้าในแต่ละประเทศทั่วโลกตามลำดับ
 
รถสปอร์ตไอคอนิก 911 ยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงในปี 2024 โดยมีการส่งมอบทั้งหมด 50,941 คัน เพิ่มขึ้น 2 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2023 ขณะที่รุ่น 718 บ็อกซเตอร์ (718 Boxster) และ 718 เคย์แมน (718 Cayman) มีการส่งมอบ 23,670 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 15 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
 
โดยรวมแล้ว มีการส่งมอบรถยนต์ ไทคานน์ (Taycan) ทั้งหมด 20,836 คันในปีที่ผ่านมา ซึ่งลดลง 49 เปอร์เซ็นต์ การลดลงนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงรุ่น และการขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้าโดยทั่วไปดำเนินไปช้ากว่าที่วางแผนไว้ ส่วนรุ่นคาเยนน์ (Cayenne) ได้รับการพัฒนาปรับปรุงในปี 2023 และกลายเป็นรถที่มียอดจำหน่ายดีที่สุดในบรรดารุ่นทั้ง 6 ของปอร์เช่ (Porsche) ในปี 2024 โดยมีการส่งมอบ 102,889 คัน เพิ่มขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนรุ่นพานาเมร่า (Panamera) มียอดการส่งมอบ 29,587 คัน การลดลง 13 เปอร์เซ็นต์ในรุ่นนี้สามารถอธิบายได้จากความต้องการที่ลดลงในตลาดจีน
 
สำหรับในปี 2025 เดทเลฟ วอน เพลเทน (Detlev von Platen กล่าวว่า "ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใหม่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ข้อเสนอของเราจึงมีความน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับลูกค้าของแบรนด์ ในขณะเดียวกัน แน่นอนว่าเรารับรู้ว่าเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์จะมีความท้าทายมากกว่าเคยในปี นี้ แต่อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเราคือการเสริมสร้างแบรนด์ของเราให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นทั่วโลกและดึงประโยชน์จากศักยภาพของตลาด เราจะทำเช่นนี้เพื่อสอดคล้องกับความต้องการในแต่ละภูมิภาค เพื่อให้เราสามารถยึดมั่นในหลักการขายที่เน้นคุณค่าของเราต่อไป"

21
ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ จากการไม่ดูแลความสะอาดในช่องปากระหว่างการจัดฟันเด็ก

การดูแลความสะอาดของช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่าเป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรดูแลเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะเรื่องของปัญหาฟันของเด็ก ถือว่าเป้นเรื่องใหญ่มาก เพราะถ้าเด็กมีฟันผุตั้งแต่ยังเป็นฟันน้ำนม อาจจะทำให้เด็กมีปัญหาสุขภาพฟันตามมาในอนาคต พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะแนะนำหรือสอนเด็กให้รู้จักการแปรงฟันที่ถูกต้อง หรือถ้าหากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างฟัน ควรพาเด็กมาเข้ามาพบทันตแพทย์เพื่อปรึกษาและเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่จะได้แก้ปัญหาเกี่ยวกับฟันตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้ตั้งแต่เด็กยังมีฟันผสม แถมยังช่วยแก้ไขในเรื่องของกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้อีกด้วย

แต่ในการเข้ารับการจัดฟัน เด็กจะต้องมีการทำความสะอาดช่องปากและฟันให้สะอาดมากเป็นพิเศษ คอต้องใส่ใจในเรื่องของการทำคววามสะอาดช่องปากและฟันมากกว่าคนทั่วไป เพราะเนื่องจากการจัดฟันในเด็กนั้น มีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก ซึ่งเป็นปัญหาของผู้เข้ารับการจัดฟันหลายคน ดังนั้น หากเราทำความสะอาดช่อปากและฟันไม่สะอาด อาจจะมีปัญหาตามมาภายหลังได้ สำหรับวันนี้คลินิกของเราจะมาพูดถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น จากการที่ไม่ดูแลความสะอาดช่องปากและฟันในระหว่างการเข้ารับการจัดฟัน ซึ่ง เป็นปัญหาที่หลายคนอาจจะมีความกังวลและพ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะมีคำถาม ว่าถ้าหากเด็กแปรงฟันไม่สะอาด จะมีปัญหาใดตามมาและจะร้ายแรวกว่าผู้ที่ไม่เข้ารับการจัดฟันหรือไม่

หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ถ้าหากเราทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ดีเท่าที่ควรอาจจะเสี่ยงทำให้เกิดปัญหาฟันตามมาได้ เช่นเดียวกันกับผู้เข้ารับการจัดฟัน ไม่ว่าจะเป้ฯเด็กหรือผู้ใหญ่ หากไม่ทำความสะอาดช่องปากและฟันให้ดี ก็ทำให้เกิดปัญหาช่องปสกและฟันตามมาอย่างแน่นอน เนื่องจากเชื้อโรคที่หลงเหลืออยู่บนผิวฟัน ซึ่งที่เราเรียกว่าคราบจุลินทรีย์ที่เกิดจากการย่อยสลายอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล แล้วปล่อยกรดออกมากัดกร่อนฟันจนผุในที่สุด นอกจากนั้นแล้ว เชื้อโรคเหล่านี้ยังทำอันตรายต่อเหงือกและอวัยวะรอบ ๆ ฟัน จนเกิดเหงือกอักเสบ บวมเป็นหนอง ฟันโยก ฟันผุตามมาได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น ปัญหาที่เกิดจากการจัดฟัน อาจเกิดจากการไม่ดูแลความสะอาดในช่องปาก ไม่ดูแลเครื่องมือที่นำเข้าในช่องปาก ก็อาจจะทำให้เกิดกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ได้ ทำให้เด็กเสียบุคลิกภาพ ทำให้โดนเพื่อล้อได้

ดังนั้น เด็กที่เข้ารับการจัดฟันใยนเด็กควรที่ทำความสะอาดช่องปากและฟันให้สะอาด เพราะยิ่งเราละเลย ปัญหาที่ตามมาอาจจะทำให้เกิดความรุนแรงได้ และปัญหาก็จะเกิดการร้ายแรงกว่าเด็กที่ไม่ได้รับการจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะหมั่นสังเกตและคอยแนะนำวิธีการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกวิธีให้กับบุตรหลานเพื่อที่เด็กจะได้ทำความสะอาดฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการเกิดฟันผุ ลดโอกาสการเกิดคราบหินปูนด้วย เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาเด็กเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากและฟันเบื้องต้น เพื่อประเมินฟันก่อนเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพ่อห้เด้กได้มีสุขภพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์ด้านการทันตกรรมในเด็กมาอย่างยาวนาน เพื่อที่จะได้ให้คำปรึกษาได้อย่างตรงจุด หากเด็กมีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน ทางเราสามารถตรวจและแก้ไขรักษาได้ก่อนเข้ารับการจัดฟันในเด็กเพื่อที่จะได้ลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการจัดฟัน เพราะเราอยากให้ทุกคนมีรอยยิ้มที่สดใสสวยงาม มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

22
รถยนต์ไฟฟ้า ดีพอล Deepal L 07 S ปี 2024
1,239,000 บาท

ดีพอล Deepal L 07 S ปี 2024
Deepal L07 S รถยนต์ fastback ไฟฟ้าคันแรกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ CHANGAN โดดเด่นด้วยการออกแบบที่สะท้อนถึงปรัชญาความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยเน้นที่ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า รูปลักษณ์ภายนอกถูกดีไซน์ให้โฉบเฉี่ยวแต่ยังคงความเรียบหรูด้วยกระจังหน้าแบบมินิมอล ตกแต่งด้วยไฟหน้า LED อัจฉริยะ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ เสริมด้วยการใช้เส้นสายอันพริ้วไหวที่ด้านข้างของตัวรถ ช่วยเพิ่มสุนทรียภาพในการขับขี่ ภายในห้องโดยสารของ Deepal L07 ประกอบด้วยห้องโดยสารแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบพร้อมเซ็นเซอร์ครบวงจร ช่วยสร้างบรรยากาศที่ดูล้ำสมัย สอดคล้องกับเป้าหมายในการก้าวเข้าสู่อนาคตยานยนต์อันยั่งยืนของ CHANGAN ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการผสานสุนทรียภาพของการออกแบบเข้ากับประสิทธิภาพการใช้งานอย่างแท้จริง

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์                Deepal
   รุ่น                     ดีพอล Deepal L 07 S ปี 2024
   ประเภทรถ            รถเก๋ง 4 ประตู, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว             2024
   ราคา                  1,239,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
สปอยเลอร์หลัง (ดีไซน์แบบ Sport)
ไฟท้าย LED (ดีไซน์แบบ Star Flame)
ไฟหน้า LED
หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ (แบบกันความร้อน)
ขนาดยางหน้า-หลัง (245/45R19)
ล้ออัลลอย (19 นิ้วลาย New Sport)

   ภายใน
ระบบจดจำปรับที่นั่งคนขับ (พร้อมระบบเลื่อนเข ้า-ออกอัตโนมัติ พร้อมระบบเป่าลมบรเิวณเบาะนั่งและพนักพิงหลังสำหรับคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า)
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (ECO/COMFORT/SPORT/CUSTOMIZE)
อุปกรณ์วัดความเร็วสะท้อนกระจก Head Up Display ((AR Head-up Display with AR Navigation)

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า                กำลังสูงสุด 190 กิโลวัตต์/ 258 แรงม้า /แรงบิด  320 นิวตัน-เมตร
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)   แรงม้า
   ระบบเกียร์                    เกียร์อัตโนมัติ
   รูปแบบเกียร์
   ระบบเบรค ABS
   ชนิดแบตเตอรี่               ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่             58.86 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง       475
   น้ำหนักตัวรถ                           -
   ประเภทยางรถยนต์                    -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                      ล้ออัลลอย (19 นิ้วลาย New Sport)
   ระบบขับเคลื่อน                     ขับเคลื่อนล้อหลัง

ระบบความปลอดภัย
  อุปกรณ์ความปลอดภัย
หลอดไฟพิเศษระบบ Daytime Running Lights(DRL) (ดีไซน์แบบ Star Petal)
อื่นๆ (ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนประตูขณะเปิด,ะบบช่วยเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า)
กล้อง (มองภาพรอบทิศทาง 360 องศา พร้อมระบบแสดงภาพตัวรถแบบโปร่งแสง และ ระบบบันทึกวิดีโอการขับข)
เทคโนโลยีสัญญาณเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์ด้านหน้าขณะขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Forward Collisio
เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking - IEB) (และ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน,ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัตที่เคลื่อนที่ความเร็วต่ำ,ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน)
เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW) (และระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน)
เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert - RCTA) (และ ระบบช่วยเตือนหากเสี่ยงต่อการโดนชนดา้นหลัง, ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถทที่มีมุมอับสายตาขณะถอยหลัง, ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถที่มีมุมอับสายตาขณะถอยหลัง)

23
โรคมะเร็งปากมดลูกระยะแรกรู้เร็วรักษาได้

จากรายงานปี 2560 สถาบันมะเร็งแห่งชาติพบผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกรายใหม่มากเป็นอันดับสองของโรคมะเร็งในเพศหญิง ดังนั้น การตระหนักถึงผลร้ายของโรคและการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งของผู้หญิง รวมถึงผู้หญิงที่เข้ารับการตรวจกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำมักมีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกน้อยมาก โดยบทความนี้ได้รวบรวมเอาข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูกระยะแรก วิธีสังเกตอาการของโรค วิธีวินิจฉัย รวมถึงวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงมาให้ได้ศึกษากัน

โรคมะเร็งปากมดลูกระยะแรกมักไม่ปรากฏอาการผิดปกติให้ผู้ป่วยสังเกตเห็น ด้วยเหตุนี้จึงอาจทำให้หลายคนไม่ทราบตัวว่าตนเองเป็นโรคนี้ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่เข้ารับการรักษาอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และแม้ว่ามะเร็งปากมดลูกมีแนวโน้มพบมากในผู้หญิงช่วงวัยกลางคนขึ้นไป แต่ก็ยังมีรายงานการพบมะเร็งปากมดลูกในผู้ที่อายุน้อยอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่มีโอกาสรักษาให้หายสูงเมื่อเทียบกับโรคมะเร็งชนิดอื่น


การวินิจฉัยโรคมะเร็งปากมดลูกระยะแรก

วิธีที่จะช่วยให้รู้ตัวเมื่อเกิดมะเร็งปากมดลูกระยะแรกขึ้นมี ดังนี้

    สังเกตอาการมะเร็งปากมดลูกระยะแรก
    อย่างที่ได้กล่าวไปว่ามะเร็งปากมดลูกระยะแรกมักไม่ปรากฏอาการให้เห็น แต่หากสังเกตเห็นสัญญาณหรืออาการต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์ทันที

        มีประจำเดือนนานและปริมาณมากกว่าปกติ
        มีเลือดออกทางช่องคลอดกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน
        รู้สึกเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
        มีตกขาวมากกว่าปกติ
        มีเลือดออกทางช่องคลอด หลังจากหมดประจำเดือน
        ปวดท้องน้อยหรือปวดหลังติดต่อกันโดยหาสาเหตุไม่ได้
        มีเลือดออกทางช่องคลอดบ่อยครั้ง หลังจากมีเพศสัมพันธ์ ทำความสะอาดอวัยวะเพศ หรือตรวจภายใน

    การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
    การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนควรให้ความสำคัญ เนื่องจากหากตรวจพบได้เร็วก็อาจช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาหาย โดยปกติควรเริ่มตรวจคัดกรองตั้งแต่อายุ 21 ปีขึ้น โดยการตรวจภายในเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสามารถทำได้ 2 วิธีด้วยกัน วิธีแรกแปปสเมียร์ (Pap smear) เป็นตรวจเพื่อหาเซลล์มะเร็งในช่วงที่ยังไม่พัฒนาเป็นโรคมะเร็ง วิธีที่ 2 การตรวจหาเชื้อเอชพีวี ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคนี้
    นอกจากนี้ ผู้ที่มีความเสี่ยง อย่างผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี มีภูมิคุ้มกันต่ำ สูบบุหรี่ และผู้ที่พบเซลล์มะเร็งจากการตรวจครั้งก่อนหน้า แพทย์อาจนัดมาติดตามอาการและตรวจคัดกรองบ่อยขึ้น


มะเร็งปากมดลูกระยะแรก สามารถรักษาได้ไหม ?

โรคมะเร็งปากมดลูกนั้นถูกจัดเป็นโรคมะเร็งที่สามารถรักษาให้หายได้ และยังมีโอกาสที่จะรักษาให้หายสูงกว่าโรคมะเร็งชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ซึ่งการรักษาอาจเป็นการผ่าตัดหรือเข้ารับรังสีรักษา ขึ้นอยู่กับระยะของโรค สภาพร่างกาย และดุลยพินิจของแพทย์ ทั้งนี้อาจสรุปได้ว่าโรคมะเร็งปากมดลูกนั้นสามารถรักษาให้หายได้ แต่เปอร์เซ็นต์ในการรักษานั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

นอกเหนือจากการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำแล้ว การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจนำไปสู่โรคมะเร็งปากมดลูกก็เป็นสิ่งที่ควรทำเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่การป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น รับวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวี สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และงดการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชพีวี เป็นต้น

นอกจากนี้ หากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการมะเร็งปากมดลูก มีความเสี่ยงต่อโรคนี้ หรือมีอาการผิดปกติอื่นใด ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อเข้ารับการตรวจภายในโดยเร็ว

24
money expo: เงินเดือนเท่านี้ ควรซื้อ SSF หรือ RMF เท่าไหร่ดี ​ ​​

ไตรมาสสุดท้ายของปี เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์เงินเดือน รวมถึงผู้มีเงินได้ทุกคน จะเริ่มคำนวณเงินได้ของตนเอง เพื่อดูว่าจะลดหย่อนภาษีอย่างไรให้คุ้มค่ามากที่สุด ซึ่ง 1 ในสิทธิลดหย่อนภาษียอดฮิตของมนุษย์เงินเดือน คือกองทุนรวม SSF และ RMF นั่นเอง เพราะนอกจากจะได้ลดหย่อนภาษีแล้ว ยังได้ออมเงินระยะยาวอีกด้วย
 
สำหรับใครที่อยากรู้ว่าควรซื้อ SSF หรือ RMF เท่าไหร่ บทความนี้จะมาคำนวณให้เพื่อนๆ ดู
 
การลงทุนซื้อ SSF และ RMF ให้คุ้มค่า

คำนวณเงินได้ในปีนั้นๆ : ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์เงินเดือน จะค่อนข้างคำนวณเงินได้ค่อนข้างง่าย เพราะในแต่ละเดือนจะได้รับสลิปเงินเดือนที่มีตัวเลขรายได้สะสม ตัวเลขการจ่ายประกันสังคม รวมถึงตัวเลขเงินออมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ Provident Fund ทำให้เห็นตัวเลขภาพรวมและคำนวณภาษีได้ง่าย
 
และในแต่ละปีจะได้ใบ 50 ทวิ หรือหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากบริษัทมาด้วย ทำให้เราสามารถกรอกตัวเลขในการยื่นภาษีช่วงเดือนมีนาคมของทุกปีได้ง่าย รวมถึงจะช่วยให้สามารถประเมินเงินได้ในปีถัดไปได้สะดวกมากขึ้น
 
ศึกษาเรื่องสิทธิลดหย่อนภาษีประจำปี : ในแต่ละปีจะมีสิทธิลดหย่อนภาษีที่แตกต่างกันไป แต่สิทธิที่เพื่อนๆ มนุษย์เงินเดือนควรรู้มีอยู่ 8 ประเภทหลัก

ทยอยลงทุนแบบ DCA : การทยอยการลงทุน นอกจากจะช่วยให้เราไม่ต้องใช้เงินก้อนในการลงทุน ยังช่วยให้เราสร้างวินัย รวมถึงการถัวเฉลี่ยต้นทุนด้วย ในเดือนที่ราคากองทุนลดลง เราจะซื้อได้ในราคาที่ต่ำ ในเดือนที่ราคากองทุนปรับสูงขึ้น เราจะซื้อได้ในราคาที่สูง แต่การทยอยลงทุนจะช่วยให้เราได้ถั่วเฉลี่ยต้นทุนนั่นเอง
 

เงินเดือนเท่านี้ ต้องซื้อ SSF RMF เท่าไหร่
 
หลังจากที่ได้รู้เรื่องสิทธิลดหย่อนภาษีแล้ว มาดูกันต่อว่าเงินเดือนของเราควรแบ่งไปซื้อ SSF หรือ RMF เท่าไหร่ดี โดยการคำนวณนี้คือสมมติฐานของมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ทางเดียว โสด และอิงจากสิทธิลดหย่อนขั้นพื้นฐานที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนได้เหมือนกัน ได้แก่
ค่าใช้จ่าย 100,000 บาท
ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
ประกันสังคม 9,000 บาท
นั่นหมายความว่า หากเพื่อนๆ มีสิทธิลดหย่อนส่วนอื่นๆ ร่วมด้วย จำนวนในการซื้อ SSF RMF จะน้อยกว่าในตารางด้านล่างนี้
 
ตัวอย่างการคำนวณ
เงินเดือน 25,000 บาท จำนวนภาษีที่ต้องจ่าย คือ 0 บาท เนื่องจากเงินได้สุทธิขั้นบันได้แรกไม่เกิน 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษี จึงไม่มีความจำเป็นต้องซื้อ
 
เงินเดือน 30,000 บาท จำนวนภาษีที่ต้องจ่าย คือ 2,050 บาท คิดเป็นการซื้อ SSF RMF ที่ 41,000 บาท เป็นการคำนวณโดยลดหย่อนจาก SSF RMF เพียงอย่างเดียว จึงนำรายได้สุทธิ 191,000 บาท ไปหัก 150,000 บาท เพื่อให้เหลือเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท จะได้ไม่เสียภาษี ซึ่งจะซื้อ SSF หรือ RMF หรือจะซื้อรวมกันก็ได้
 
แต่เพื่อนๆ ไม่จำเป็นต้องซื้อเต็มจำนวน เนื่องจากเป็นจำนวนเงินที่สูง แต่อาจส่งผลต่อสภาพคล่องในชีวิตประจำวันได้ อีก 1 วิธีในการลดจำนวนภาษีที่ต้องจ่าย คือ การซื้อเพื่อลดฐานภาษี เช่น เสียภาษีที่ฐาน 10% ซื้อ SSF RMF เพื่อให้ฐานภาษีเหลือ 5% ช่วยให้เพื่อนๆ ลดภาระการจ่ายภาษีลงได้
 
ในบทความนี้เพื่อนๆ น่าจะได้เห็นตัวเลขคร่าวๆ แล้วว่าเราควรซื้อ SSF RMF เท่าไหร่ แต่อย่าลืมว่าสิทธิลดหย่อนภาษีไม่ได้มีเพียง SSF RMF เท่านั้น ยังมีทั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกัน ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย เงินบริจาค ฯลฯ ซึ่งเมื่อนำมาคำนวณกันแล้ว จะช่วยให้ลดหย่อนภาษีได้คุ้มค่ามากขึ้นนะครับ

25
หมอออนไลน์: ไข้ฉี่หนู/เล็ปโตสไปโรซิส (Leptospirosis)

เล็ปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้เป็นครั้งคราวในแทบทุกจังหวัด พบมากในคนที่มีอาชีพที่ต้องย่ำน้ำหรือแช่น้ำ เช่น ทำนา ทำสวน จับปลา เก็บขยะ ขุดท่อ เลี้ยงสัตว์ ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ทำเหมืองแร่ แม่บ้านที่เตรียมอาหารจากเนื้อสัตว์ นักท่องเที่ยวที่นิยมเที่ยวป่า น้ำตก ทะเลสาบ ว่ายน้ำในแหล่งน้ำจืด เป็นต้น

พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2.5 เท่า ส่วนใหญ่พบในกลุ่มอายุ 15-54 ปี

โรคนี้พบได้ประปรายตลอดปี แต่จะพบมากในช่วงเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีน้ำขัง หรือเกิดภาวะน้ำท่วม มีเชื้อโรคขังอยู่ในน้ำ เมื่อคนเดินลุยน้ำหรือลงแช่น้ำก็มีโอกาสได้รับเชื้อนี้ บางครั้งอาจพบมีการระบาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีภาวะน้ำท่วม

ในระยะหลังๆ นี้ พบผู้ป่วยเป็นโรคนี้กันมากทางภาคอีสาน เนื่องจากมีหนูชุกชุมตามท้องนา และมักจะเป็นชนิดรุนแรง ชาวบ้านเรียกว่า ไข้ฉี่หนู


สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่าเชื้อ เล็ปโตสไปร่า (leptospira) มีอยู่หลายพันธุ์ย่อย ซึ่งก่อให้เกิดอาการและความรุนแรงแตกต่างกันไป ขึ้นกับชนิดและปริมาณของเชื้อ

เชื้อนี้จะมีอยู่ในไตของสัตว์ ที่พบบ่อย คือ หนูท่อ หนูนา หนูพุก นอกจากนี้ยังพบในสุนัข สุกร แมว โค กระบือ แพะ แกะ

เชื้อที่ก่อโรครุนแรงมีชื่อว่า Leptospira icterohaemorrhagiae อาศัยอยู่ในหนูและสุนัข Leptospira bataviae อาศัยอยู่ในหนู สุนัข โค กระบือ

สัตว์เหล่านี้จะปล่อยเชื้อออกมากับปัสสาวะ เชื้อจะสามารถมีชีวิตอยู่ในแหล่งน้ำหรือพื้นดินที่ชื้นแฉะได้นานหลายเดือน

คนเราจะรับเชื้อเข้าร่างกาย โดยผ่านเข้าทางบาดแผลถลอกหรือขีดข่วนตามผิวหนัง หรือเข้าทางเยื่อบุตา จมูกหรือช่องปากที่ปกติ วิธีติดเชื้อที่สำคัญ ได้แก่ การย่ำน้ำที่ท่วมขัง (เช่น ตามซอกซอยในเมือง) หรือพื้นดินที่ชื้นแฉะ (เช่น ตามท้องนา) และการแช่อยู่ในน้ำตามห้วยหนองคลองบึง เป็นเวลาเกิน 2 ชั่วโมงขึ้นไป (เช่น จับปลา เก็บผัก เล่นน้ำ แข่งกีฬาทางน้ำ) นอกจากนี้ยังสามารถติดเชื้อโดยการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อจากปัสสาวะหนู หรือสัมผัสถูกเลือด ปัสสาวะ หรือเนื้อเยื่อของสัตว์ที่ติดเชื้อโดยตรง

ระยะฟักตัว 2-26 วัน (ที่พบบ่อย คือ 7-14 วัน)


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะรุนแรง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อคล้ายไข้หวัดใหญ่ แต่แตกต่างตรงที่จะรู้สึกปวดมากตรงบริเวณน่อง หลัง และหน้าท้อง

บางรายอาจมีไข้ติดต่อกันหลายวันสลับกับระยะไข้ลด

บางรายอาจมีอาการตาแดง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เจ็บคอ ไอ เจ็บหน้าอก บางรายอาจมีอาการปวดตรงชายโครงขวา (ซึ่งอาจปวดรุนแรง จนแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นภาวะปวดท้องเฉียบพลัน และผ่าตัดช่องท้องดู)

อาจมีอาการตาเหลืองเล็กน้อย หลังมีไข้ 4-7 วัน

ในรายที่เป็นรุนแรง (พบได้ประมาณร้อยละ 10 ของผู้ป่วย) หลังมีไข้ 4-9 วัน จะมีอาการตาเหลืองจัด ปัสสาวะเหลืองเข้ม ปัสสาวะออกน้อย บางรายอาจมีอาการเลือดกำเดาไหล มีจุดแดงจ้ำเขียวขึ้นตามตัว หรืออาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายเป็นเลือด บางรายอาจมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง หายใจหอบ หรือไอเป็นเลือด


ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ได้แก่ ไตวาย ภาวะเลือดออก (ซึ่งเกิดจากการอักเสบของผนังหลอดเลือด) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลือดออกในทางเดินอาหารและในปอด ซึ่งมักพบในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการดีซ่านร่วมด้วย

นอกจากนี้อาจพบภาวะตับวาย ปอดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ ภาวะหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว หัวใจวาย เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

บางรายหลังจากอาการทั่วไปหายดีแล้ว อาจมีอาการผิดปกติทางจิต เช่น โรคจิต (psychosis) กระสับกระส่าย พฤติกรรมผิดปกติเป็นเวลานานมากกว่า 6 เดือน


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส

เยื่อตาขาวมีลักษณะบวมแดง (conjunctival suffusion) ที่ตา 2 ข้าง ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดที่เยื่อบุตาขยายตัว มักเกิดขึ้นภายใน 3 วันแรกของโรค และเป็นอยู่นาน 1-7 วัน อาจพบร่วมกับภาวะเลือดออกใต้ตาขาว

เมื่อใช้มือบีบบริเวณกล้ามเนื้อน่อง จะมีอาการเจ็บปวดมาก

บางรายอาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองโต ตับโต ม้ามโต ตาเหลืองเล็กน้อย หรือพบผื่นแดง ลมพิษตามผิวหนัง

บางรายอาจพบอาการคอแข็ง (หลังเป็นไข้ประมาณ 1 สัปดาห์)

การทดสอบทูร์นิเคต์อาจให้ผลบวก (ดูวิธีทดสอบใน โรคไข้เลือดออก ที่หัวข้อ "อาการ" เพิ่มเติม)

ในรายที่เป็นรุนแรง มักตรวจพบอาการตาเหลือง ตัวเหลืองจัด ตับโตและเจ็บ มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือรอยห้อเลือดตามผิวหนัง อาการไตวายเฉียบพลัน

นอกจากนี้ ยังอาจตรวจพบภาวะซีด หายใจหอบเร็ว ภาวะหัวใจวาย ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ ความดันต่ำ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด จะพบจำนวนเม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ บางรายอาจสูงถึง 50,000 ตัว/ลบ.มม. เกล็ดเลือดต่ำ นอกจากนี้ยังพบระดับของบียูเอ็น (BUN) ครีอะตินีน (creatinine) เอเอสที (AST) และเอแอลที (ALT) สูงกว่าปกติ

การตรวจปัสสาวะพบสารไข่ขาว เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว

ในรายที่ปวดศีรษะรุนแรง หรือสงสัยเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบแทรกซ้อน อาจต้องเจาะหลัง

อาจต้องทำการเพาะเชื้อจากเลือด ปัสสาวะ หรือน้ำไขสันหลัง

การทดสอบทางน้ำเหลือง ซึ่งมีอยู่หลายวิธี เช่น IgM-ELISA, microscopic agglutination test (MAT), macroscopic slide agglutination test (MSAT), latex agglutination test, lepto-dipstick test เป็นต้น มักพบสารภูมิต้านทานต่อเชื้อนี้ขึ้นสูง


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่เป็นไม่รุนแรง ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน หรือดอกซีไซคลีน

2.  ในรายที่เป็นรุนแรง แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล ให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีด เช่น เพนิซิลลินจี ดอกซีไซคลีน หรือเซฟทริอะโซน (ceftriaxone) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ

นอกจากนี้จะให้การรักษาตามอาการที่พบ เช่น ให้ยาลดไข้ ให้น้ำเกลือถ้ามีภาวะขาดน้ำ ให้เลือดถ้ามีเลือดออก

ถ้ามีภาวะไตวาย อาจต้องทำการฟอกล้างของเสียหรือล้างไต (dialysis)

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงโรคและสภาพของผู้ป่วย ถ้าไม่มีอาการดีซ่าน อาการมักจะไม่รุนแรง แต่ถ้ามีดีซ่านร่วมด้วย มักจะมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และมีอัตราตายถึงร้อยละ 15-20 ซึ่งมักเกิดจากภาวะไตวาย หรือช็อกจากการเสียเลือด ภาวะรุนแรงมักเกิดในผู้สูงอายุและหญิงตั้งครรภ์


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูงร่วมกับอาการหนาวสั่น หรือมีไข้ร่วมกับตาแดง ตาเหลือง ปวดศีรษะรุนแรง ปวดท้องมาก หรือปวดน่องมาก หรือมีไข้ในช่วงที่มีคนในละแวกใกล้เคียงเป็นไข้ฉี่หนู ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้ฉี่หนู (เล็ปโตสไปโรซิส) ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึมมาก ไม่ค่อยรู้สึกตัว เพ้อคลั่ง หรือชัก
    หายใจหอบ เจ็บหน้าอกมาก หรือชีพจรเต้นผิดปกติ
    ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย
    มีเลือดออก เช่น ถ่ายเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ
    ตาเหลืองตัวเหลือง หน้าตาซีดเซียว หรือเบื่ออาหารมาก
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. กำจัดหนู (ซึ่งเป็นแหล่งแพร่เชื้อที่สำคัญ) ทั้งในนาข้าวและในที่อยู่อาศัย

2. รักษาความสะอาดบริเวณบ้านเรือน อย่าให้มีขยะและเศษอาหารตกค้าง อันจะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของหนู

3. ถ้ามีบาดแผล รอยถลอก ขีดข่วน ให้ปิดแผลและหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำที่ท่วมขังหรือพื้นดินที่ชื้นแฉะ หรือลงแช่น้ำในห้วยหนองคลองบึง

4. ถ้าต้องเดินย่ำน้ำหรือพื้นดินที่ชื้นแฉะ (ตามตรอก ซอย คันนา ท้องนา ท้องไร่) ให้ใส่รองเท้าบู๊ตหรือรองเท้าหุ้มข้อ

5. อย่าลงแช่น้ำในห้วยหนองคลองบึงนานเกินครั้งละ 2 ชั่วโมง และเมื่อขึ้นจากน้ำควรฟอกสบู่และชำระด้วยน้ำสะอาด

6. เก็บหรือปกปิดอาหารและน้ำดื่มให้มิดชิด อย่าให้หนูปัสสาวะใส่

7. ดื่มน้ำต้มสุก และกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ด้วยความร้อน

8. หมั่นล้างมือภายหลังจับต้องเนื้อ ซากสัตว์ และสัตว์ทุกชนิด

9. ในกรณีที่ต้องเดินทางเข้าไปในแหล่งที่มีโรคนี้ชุกชุมในช่วงเวลาสั้น ๆ (เช่น การตั้งค่ายของกองทหาร นักเรียน นักศึกษา) และไม่สามารถใช้วิธีป้องกันอย่างอื่น ๆ ได้ ควรกินยาดอกซีไซคลีนป้องกันล่วงหน้า ครั้งละ 200 มก. ตั้งแต่ในวันแรกที่เข้าไป ต่อมากินทุกต้นสัปดาห์ และวันหยุดสุดท้ายก่อนกลับ

ข้อแนะนำ

1. อาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว นอกจากนึกถึงสาเหตุจากไข้หวัดใหญ่ ไทฟอยด์ สครับไทฟัส กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน มาลาเรีย ไข้เลือดออก ถุงน้ำดีอักเสบ และท่อน้ำดีอักเสบแล้ว จะต้องนึกถึงไข้ฉี่หนูหรือโรคเล็ปโตสไปโรซิสไว้ด้วยเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบมีอาการตาแดงหรือดีซ่านร่วมด้วย ในผู้ป่วยที่อยู่ในถิ่นที่มีโรคนี้ชุกชุม

2. โรคนี้ส่วนใหญ่ (กว่าร้อยละ 90) จะมีอาการไม่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีอาการดีซ่านร่วมด้วย จนบางครั้งมักจะวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อไวรัส ดังนั้นเมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการสงสัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อไวรัส ควรตรวจโดยการบีบน่องผู้ป่วย ถ้ารู้สึกเจ็บน่องมาก ควรสงสัยว่าอาจเป็นไข้ฉี่หนูหรือเล็ปโตสไปโรซิส ควรสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด และไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว การรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคได้ภายใน 10-14 วัน

ส่วนรายที่เป็นรุนแรง (พบได้ร้อยละ 10) มักจะมีอาการตาเหลืองจัด บางครั้งทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นตับอักเสบจากไวรัส ข้อแตกต่าง คือ ตับอักเสบจากไวรัสมักจะไม่มีไข้เมื่อมีอาการดีซ่าน ในขณะที่เล็ปโตสไปโรซิสจะมีไข้สูงขณะที่มีอาการดีซ่าน และมักจะมีอาการอื่น ๆ เช่น ไตวาย (ปัสสาวะออกน้อย) เลือดกำเดาไหล หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวร่วมด้วย

หากสงสัยควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะหายได้ภายใน 2-3 สัปดาห์

26
บริหารจัดการอาคาร: วิธีเพิ่มความปลอดภัยในบ้าน ให้บ้านเป็นเซฟโซนกว่าที่เคย

ความปลอดภัยในบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะส่งผลกับทุกชีวิตในบ้านโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ หรือแม้แต่คนหนุ่มสาวก็ตาม เพราะอุบัติเหตุนั้นสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งมีอยู่หลายสิ่งหลายอย่างภายในบ้านที่อาจเป็นอันตรายได้ แต่หลายครอบครัวก็มักจะมองข้ามไป จนทำให้บ้านไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด หากคุณอยากรู้ว่าวิธีเสริมความปลอดภัยในบ้านมีอะไรบ้าง เรามี 6 วิธีที่จะทำให้บ้านของคุณปลอดภัยมากกว่าที่เคย มาแบ่งปันกันค่ะ


1. การติดตั้งเครื่องตรวจจับควันในบ้าน

อันตรายในบ้านที่ใกล้ตัวที่สุด และจำเป็นต้องระวังมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเพลิงไหม้จากการทำอาหาร การจุดธูปเทียน และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งหนึ่งในวิธีเพิ่มความปลอดภัยในบ้านเพื่อป้องกันเหตุเพลิงไหม้รุนแรงก็คือ การติดตั้งเครื่องตรวจจับควัน หรือเครื่องตรวจจับความร้อนในบ้าน โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการใช้ไฟเป็นประจำ เช่น ห้องครัว หรือห้องพระนั่นเอง


2. การติดตั้งวัสดุกันลื่น

การลื่นล้ม และสะดุดล้ม เป็นอุบัติเหตุภายในบ้านที่เกิดขึ้นได้บ่อยที่สุด และสามารถเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำที่เปียกลื่น ห้องครัวที่มีความมันและเศษอาหาร หรือแม้แต่ห้องนอนและห้องนั่งเล่นที่มีพื้นลื่นและเงาก็ด้วย ซึ่งการล้มจากการลื่นหรือสะดุดนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากศีรษะหรือส่วนสำคัญของร่างถูกกระแทกอย่างแรง ดังนั้น การติดตั้งวัสดุกันลื่นในบริเวณต่าง ๆ เช่น การติดแผ่นกันลื่นใต้พรมห้องนั่งเล่นหรือห้องนอน การวางพรมกันลื่นในห้องน้ำรวมถึงการติดแถบกันลื่นบริเวณบันไดหรือทางลาด และบริเวณห้องน้ำก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุเหล่านี้ได้


3. การติดไฟส่องสว่างให้ทั่วทุกบริเวณบ้าน

อีกหนึ่งสาเหตุหลักของอุบัติเหตุภายในบ้านก็คือ ปัญหาเรื่องความมืด หรือบ้านที่ถูกบดบังการมองเห็น ทำให้มองทางได้ไม่ชัดเจน ไม่เห็นสิ่งกีดขวาง หรือทางต่างระดับ รวมถึงภัยจากสัตว์ร้าย สัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ ด้วย ดังนั้นแล้วการติดไฟส่องสว่างให้ทั่วทั้งบริเวณบ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากการมองไม่เห็นได้


4. ไม่วางของมีคม หรือของปลายแหลมในบ้าน

ของมีคมและมีปลายแหลม ถือเป็นสิ่งของอันตรายที่ไม่ควรอยู่ในบ้าน ไม่ว่าจะอยู่ในมุมใดก็ตาม เพราะหากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาก็อาจจะถูกบาด หรือถูกแทง และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงไม่ควรวางของมีคมหรือของปลายแหลมในบ้านและบริเวณที่มีคนเดินผ่านประจำ รวมถึงควรหาอุปกรณ์ที่เหมาะสมมาคลุมปลายแหลมและด้านที่คมเอาไว้ด้วย


5. ตรวจสภาพเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นประจำ

เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นแม้ว่าจะมอบความสะดวกสบายให้แก่เรา แต่หากไม่ได้รับการดูแลอย่างดี ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้จากไฟฟ้าลัดวงจร หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าระเบิด จึงควรตรวจสอบสภาพ และการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเป็นประจำ เพื่อป้องกันเหตุไฟฟ้าลัดวงจรและอันตรายจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน


6. ติดตั้งระบบ Home Security

ติดตั้งระบบ Home Security เช่น เซนเซอร์ประตู สัญญาณกันขโมย และกล้องวงจรปิด จะช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยให้แก่คนในบ้านได้มากทีเดียว เพราะจะช่วยให้คุณตั้งรับอันตรายจากการบุกรุกของคนภายนอกได้ อีกทั้งยังช่วยให้คุณสามารถสอดส่องดูแลเด็ก ผู้สูงอายุ รวมถึงสัตว์เลี้ยงได้จากทุกที่แม้ว่าคุณจะไม่อยู่บ้านก็ตาม

27
มิตซูบิชิ ไทรทัน 2024: มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2.4 Pro ปี 2023
740,000 บาท

มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2.4 Pro ปี 2023
MITSUBISHI TRITON  Mega Cab Plus 2.4 Pro ตัวถังดีไซน์ใหม่! เมกาเฟรม (Mega Frame) ใหญ่ขึ้น และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เครื่องยนต์ใหม่ ไฮเปอร์เพาเวอร์ กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ (184 PS) แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร เทอร์โบแปรผัน VG Turbo ช่วงล่างใหม่ ล้อ 16 นิ้ว

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์           Mitsubishi
   รุ่น                มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2.4 Pro ปี 2023
   ประเภทรถ       รถกระบะ 2 ประตู (แค็บ)
   ปีที่เปิดตัว       2023
   ราคา            740,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
ล้อแม็ก (16 นิ้ว)
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว (LED)
ไฟตัดหมอก (LED)
ไฟหน้าฮาโลเจน

   ภายใน
เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้
พวงมาลัยหุ้มหนัง
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้ (เข้า-ออก)
ภายในโทนสีดำ (เบาะผ้า)
กระจกมองหลังตัดแสง (อัตโนมัติ)
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (หน้า USB-C / USB-A)

สเปค
   เครื่องยนต์          เครื่องยนต์คลีนดีเซลไฮเปอร์เพาเวอร์ (Hyper Power Engine) เทอร์โบแปรผัน VG Turbo กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ หรือ 184 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)        2,442 CC
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)    184 แรงม้า
   ระบบเกียร์                      เกียร์ธรรมดา 6MT
   รูปแบบเกียร์
   ระบบเบรค ABS                มี (EBD/BA)
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง        ดีเซล, B7
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)        75 ลิตร
   ระบบจ่ายน้ำมัน                คอมมอนแรล
   น้ำหนักตัวรถ                    -
   ประเภทยางรถยนต์             -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน              ขับเคลื่อนล้อหลัง

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย
อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ASC/TCL/Active Yaw Control: AYC)
ตัวถังนิรภัย
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
คานเหล็กเสริมนิรภัย
กล้อง (ขณะถอยหลัง)
เทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HSA
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก

28
เผยข้อดี ของการจัดฟันเด็ก

การจัดฟัน ถือเป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก คือการรักษาที่จะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีฟันที่สวยงาม นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของผู้เข้ารับการจัดฟันให้มีความมั่นใจ มีรอยยิ้มที่สดใสอีกด้วย ซึ่งการจัดฟันนั้น มีด้วยหลากหลายรูปแบบ โดยทันตแพทย์จะทำการรักษาให้เหมาะสมกับปัญหาฟันของแต่ละบุคคล เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ซึ่งการจัดฟันด้วยที่เรามักจะพบเห็นได้บ่อยก็คือ การจัดฟันที่มีเครื่องมือแบบติดแน่น

ซึ่งการจัดฟันในรูปแบบนี้ เป็นการจัดฟันแบบนี้เป็นแบบมาตรฐานที่นิยมจัดกันทั่วไป และต้องเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันทุกๆ 4-6 สัปดาห์ เพื่อปรับเครื่องมือจัดฟัน และการจัดฟันแบบนี้มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการจัดฟันชนิด รวมไปถึงสีสันของยางที่มีให้เลือกใช้ได้หลากหลายอีกด้วย และในปัจจุบันนี้การจัดฟันก็มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรักษา ทำให้การจัดฟันมีหลากหลายชนิดมากยิ่งถึง แม้กระทั่งการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 12-15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่ฟันน้ำนมหลุดหมดแล้ว และมีฟันแท้ขึ้น และยังเป็นช่วงที่ขากรรไกรกำลังเจริญเติบโตด้วย

ซึ่งในวันนี้ทางคลินิกเราจะมารพูดถึงข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ซึ่งเด็กในวัยนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของบุตรหลาของท่านให้มากเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงแม้ว่าการจัดฟันในเด็ก จะยังไม่มีความจำเป็นมากนัก แต่ถ้าหากบุตรหลานของท่านมีสัญญาณว่าจะเกิดปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ก็ควรพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจรวจฟันกับทันตแพทย์ หรือถ้าหากมีปัญหาในเรื่องของรูปร่างของฟันก็สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้าไปปรึกษาทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดที่อาจจะสงสัยในเรื่องของการจัดฟันในเด็กว่ามีข้อดีอย่างไร

ทางคลินิกจะมาตอบในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก ว่า เมื่อเด็กเข้ารับการจัดฟันแล้วจะส่งผลดีอย่างไรต่อสุขภาพช่องปาและฟันของเด็กบ้าง ซึ่งต้องบอกว่า การจัดฟันนั้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันในรูปแบบไหน หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า จะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีฟันที่เรียงตัวสวยขึ้น มีรอยยิ้มที่สวยงาม ช่วยให้เด็กมีความสดใสสมวัย ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีขึ้น และเพิ่มความมั่นใจ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสบฟันที่ดีขึ้น สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดีกว่าเดิม


สำหรับในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ก็จะทำให้เด็กมีสุขภาพปากและฟันดีขึ้น การทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง ส่งผลทำให้ฟันผุน้อยลง และจุดเด่นของการจัดฟันในเด็กก็คือ ช่วยปรับโครงหน้าให้เข้าที่มากยิ่งขึ้น นี่ก็คือข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ที่จะช่วยทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย เป็นที่ประทับใจต่อผู้พบเห็น

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟัน ก็สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลและรายละเอียดของการจัดฟันในเด็กได้ที่คลินิกได้ ทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก และยังมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน จึงทำให้มั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ และอยากแนะนำ ปลูกฝังให้เด็กๆทุกคนใส่ใจ ตระหนักถึงเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันให้มากเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาช่องปากในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

29
วัดสวย อยุธยา เที่ยวใกล้กรุงเทพ เช้าไปเย็นกลับ ทำบุญ ไหว้พระดีต่อใจ

ถ้าพูดถึง อยุธยา หลายๆ คนคงจะนึกถึงเมืองเก่า โบราณสถานสวยๆ ตามเรามา เที่ยวอยุธยา กับวัดสวย อยุธยา เที่ยวใกล้กรุงเทพ เช้าไปเย็นกลับ ไหว้พระดีต่อใจ กันได้เลยจ้า เพราะที่นี่เป็นกรุงเก่าที่มีประวัติศาสตร์ และ วัดสวยๆ รอบเมืองเยอะมากๆ ค่ะ ตามเรามาเช็กลิสต์ เที่ยววัดฉบับสายบุญ สายเที่ยว กันได้เลย!

เที่ยวฉบับสายบุญ ไหว้พระ ทำบุญ ดีต่อใจ

1. วัดใหญ่ชัยมงคล

       วัดใหญ่ชัยมงคล ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวัดสวย แลนด์มาร์คหนึ่งของจังหวัดอยุธยาเลยก็ว่าได้ค่ะ วัดใหญ่ชัยมงคลแห่งนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ เจดีย์องค์ใหญ่ ที่เชื่อกันว่าได้รับการปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภายค่ะ และด้านในได้มีการค้นพบชัยมงคลคาถาบรรจุอยู่อีกด้วย

      นอกจากนี้แล้วภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานพระนอนที่ วิหารพระพุทธไสยาสน์ และ ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ทุกคนเคารพนับถือ และไปกราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลค่ะ

    ที่อยู่ : 40/3 หมู่ที่ 3 ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    โทร : 0-3524-2640


2. วัดพนัญเชิงวรวิหาร

       วัดพนัญเชิงวรวิหาร อยู่ไม่ไกลจากวัดใหญ่ชัยมงคลค่ะ เป็นวัดสวยอยุธยา เก่าแก่ และสำคัญที่ต้องมาให้ได้สักครั้ง ภายในประดิษฐาน พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโต หรือ เจ้าพ่อซำปอกง พระพุทธรูปศิลปะอู่ทองตอนปลาย ปางมารวิชัย ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดอยุธยา และยังเป็นที่สักการะนับถือทั้งคนไทย และคนไทยเชื้อสายจีนค่ะ

       ในทุกๆ ปีจะมีการจัดงานสรงน้ำและห่มผ้าถวายในช่วงประมาณเดือนเมษายน จะมีการสรงน้ำและเปลี่ยนผ้าห่มผืนใหม่ให้องค์พระ และผ้าผืนเก่าที่ใช้มาตลอด 1 ปีนั้นจะฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ แจกจ่ายให้ผู้คนนำไปบูชา

    ที่อยู่ : หมู่ 2 ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    โทร : 0-3524-3867


3. วัดพุทไธศวรรย์

      วัดพุทไธศวรรย์ เป็นพระอารามหลวงที่ใหญ่โตและมีชื่อเสียง ตามตำนานเล่าว่า วัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระราชอนุสรณ์ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) หลังสถาปนากรุงศรีอยุธยา ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ ปรางค์ประธาน องค์ใหญ่ศิลปะแบบขอม และ พระตำหนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ประจำอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาค่ะ

       ในประวัติศาสตร์ตอนเสียกรุงฯ ในปี พ.ศ. 2310 วัดพุทไธศวรรย์เป็นอีกวัดหนึ่งที่ไม่ถูกข้าศึกทำลายเหมือนวัดอื่นๆ ทำทุกวันนี้จึงยังมีโบราณสถานไว้ชมอีกมากมายค่ะ

    ที่อยู่ : หมู่ที่ 8 ตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    โทร : -


4. วัดไชยวัฒนาราม

      วัดไชยวัฒนาราม เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปราสาททอง เมื่อปี พ.ศ.2173 เป็นวัดหลวงที่มีความสำคัญมากๆ เพราะเป็นวัดที่บำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหากษัตริย์สืบต่อมาหลังจากนั้นทุกพระองค์ และยังเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระศพพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ด้วย

       จุดน่าสนใจ และสวยงามของวัดก็คือ ระเบียงคด เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างเมรุแต่ละเมรุเอาไว้ โดยรอบฐานประทักษิณซึ่งแต่เดิมจะมีหลังคารอบๆ ที่บริเวณระเบียงคดนี้จะมีพระพุทธรูป ปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ รวมทั้งหมด 120 องค์ ปัจจุบันเหลือที่ยังมีพระเศียรอยู่ 2 องค์ค่ะ

    ที่อยู่ : ตำบลบ้านป้อม อำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-16.30 น.
    โทร : -


5. วัดพระศรีสรรเพชญ์

       วัดพระศรีสรรเพชญ์ สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.2035 โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นอดีตวัดหลวงประจำพระราชวัง คือเป็นวัดที่สร้างอยู่ในพระราชวังหลวงของพระนครศรีอยุธยาในสมัยอดีตนั่นเอง เป็นวัดประจำวังที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา เทียบได้กับวัดพระศรีรัตนศาสดารามในกรุงเทพฯ เลยทีเดียวค่ะ

       จุดที่น่าสนใจ และสำคัญคือ เจดีย์ทรงลังกา จำนวน 3 องค์ที่วางตัวเรียงยาว ซึ่งบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

    ที่อยู่ : ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


6. วัดมหาธาตุ อยุธยา

       วัดมหาธาตุ เป็นวัดที่จัดอยู่ใน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ค่ะ ที่นี่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญที่สุดในกรุงศรีอยุธยา เพราะเป็นวัดที่ประดิษฐานพระบรมธาตุใจกลางพระนคร และเป็นที่พำนักของสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายคามวาสีอีกด้วย สร้างในสมัย สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ขุนหลวงพะงั่ว เมื่อปี พ.ศ. 1917 แต่แล้วเสร็จ และสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จในสมัยสมเด็จพระราเมศวร

       สิ่งที่น่าสนใจในวัดมหาธาตุก็คือ เศียรพระพุทธรูปในรากไม้ ที่มีอายุกว่าร้อยปีอยู่ที่วิหารเล็ก ซึ่งมีรากไม้แผ่รากขึ้นเกาะเต็มผนัง รากไม้ส่วนหนึ่งได้ล้อมเศียรพระพุทธรูปไว้ เป็นจุด Unseen Thailand อีกหนึ่งที่เลยทีเดียวค่ะ

    ที่อยู่ : เชิงสะพานป่าถ่าน ถนนนเรศวร ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


7. วิหารพระมงคลบพิตร

       วิหารพระมงคลบพิตร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นช่วงแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นวัดเก่าแก่ในเขตกำแพงเมืองที่สวยงาม และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ภายในวิหารมี พระมงคลบพิตร พระพุทธรูปประธานขนาดใหญ่ที่สวยงาม หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์องค์เดียวในประเทศไทย แม้จะได้รับความเสียหายในช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แต่ได้รับการบูรณะใหม่ทั้งหมด

    ที่อยู่ : ถนนนเรศวร ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


8. วัดราชบูรณะ

       วัดราชบูรณะ สร้างขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือเจ้าสามพระยา ในปี พ.ศ. 1967 เป็นหนึ่งในวัดที่ใหญ่และมีความเก่าแก่มากที่สุดในอยุธยา โบราณสถานสำคัญในวัดก็คือ พระปรางค์วัดราชบูรณะ ซึ่งมีมีกรุใหญ่และลึก ทั้งหมด 3 ห้องใหญ่ๆ เรียงกันลงไป ห้องที่อยู่ในสุด เป็นห้องที่สำคัญที่สุด บรรจุพระบรมธาตุ ซึ่งเก็บรักษาอย่างดีในเจดีย์ทองคำและรอบๆ ยังเต็มไปด้วยพระพุทธรูปต่างๆ

    ที่อยู่ : ถนนชีกุน ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


9. วัดธรรมิกราช

       วัดธรรมิกราช ที่นี่เป็นวัดหลวงเก่าแก่ที่พระมหากษัตริย์เสด็จมาฟังธรรมกันประจำในวันพระ สร้างขึ้นโดย พระยาธรรมิกราชโอรสของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ที่นี่ยังเป็นสถานที่สอบเปรียญธรรมสำหรับพระสงฆ์ในสมัยโบราณอีกด้วย

       จุดเด่นที่สำคัญคือ เป็นวัดที่มีการพบ เศียรพระธรรมิกราช ซึ่งนับเป็นเศียรพระพุทธรูปสำริดที่มีขนาดใหญ่สุด และมีความสำคัญมากที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย ปัจจุบันได้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา และเจดีย์ทรงกลมที่มีปูนปั้นรูปสิงห์ล้อมที่หาชมได้ยาก

    ที่อยู่ : ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


10. วัดกษัตราธิราชวรวิหาร

       วัดกษัตราธิราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีพระปรางค์เป็นประธานของวัด สถานที่สำคัญภายในวัดคือ พระประธานในพระอุโบสถ ที่มีแท่นฐานผ้าทิพย์ปูนปั้น ประณีตงดงาม ใบเสมาของพระอุโบสถเป็นใบเสมาคู่แกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง

    ที่อยู่ : 33/5 ตำบลบ้านป้อม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.
    โทร : -

11. วัดมเหยงคณ์

       วัดมเหยงคณ์ สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือ เจ้าสามพระยา ภายในวัดมเหยงคณ์ มีพระอุโบสถ ตั้งอยู่บนฐานสูง 2 ชั้นลดหลั่นกัน จึงนับได้ว่าที่นี่เป็นพระอุโบสถที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดอยุธยา นอกจากนี้ยังมีพระเจดีย์ฐานช้างล้อมซึ่งเป็นเจดีย์องค์ประธานของวัดมเหยงคณ์อีกด้วย

    ที่อยู่ : ตำบลหันตรา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    โทร : -


12. วัดโลกยสุธาราม

       วัดโลกยสุธาราม สันนิษฐานว่าได้สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางในสมัยสมเด็จพระนครินทราธิราช (พระราชบิดาเจ้าสามพระยา) เมื่อปี พ.ศ.1995 จุดเด่นของวัดก็คือ พระพุทธไสยาสน์ ที่ใหญ่ที่สุดในเกาะเมืองอยุธยา ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง จึงมักมีนักท่องเที่ยวมาสักการะพระพุทธไสยาสน์อยู่เสมอๆ

    ที่อยู่ : 199/29 หมู่ 8 ศรีสรรเพชญ์ ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-16.30 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


13. วัดพระราม

       วัดพระราม เป็นวัดที่ตั้งอยู่นอกเขตพระราชวัง เป็นโบราณสถานเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1912 ในรัชสมัยสมเด็จพระราเมศวร ในบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) พระราชบิดานั่นเองค่ะ

       โบราณสถานที่สำคัญคือ พระปรางค์ ซึ่งเป็นพระปรางค์ทรงขอมโบราณขนาดใหญ่ ที่มุมปรางค์ประกอบด้วยรูปสัตว์หิมพานต์ ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังทั้งสองด้าน เป็นภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งปางมารวิชัยบนบัลลังก์

    ที่อยู่ : ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


14. วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร

       วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร วัดสไตล์โกธิก หนึ่งเดียวในประเทศไทย ตั้งอยู่บนเกาะลอย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาค่ะ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างขึ้นโดยใช้สถาปัตยกรรมในแบบโกธิคและเลียนแบบโบสถ์ของศาสนาคริสต์ในการก่อสร้างค่ะ

       ความโดดเด่นของที่นี่คือ พระอุโบสถ เป็นแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่วซ้อนกัน 2ชั้น รอบผนังพระอุโบสถจะเจาะช่องหน้าต่าง เป็นลักษณะโค้งๆ แต่ปลายแหลม บริเวณหลังพระอุโบสถ จะเป็นหอระฆังยอดโดม เป็นทรงกรวยแหลมสูง 3 ชั้นค่ะ เป็นอีกหนึ่ง วัดสวยในอยุธยา ที่ต้องห้ามพลาด

    ที่อยู่ : ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


30
คอนโดติดรถไฟฟ้า เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน (Senakith Srinakarin - Sridan)
เริ่มต้น 1.3 ลบ. 

เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน (Senakith Srinakarin - Sridan)
เตรียมพบกับ เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน ออกแบบด้วยความใส่ใจ เก็บทุกรายละเอียดแม้ว่า เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในแบบฉบับ Made From Her ใกล้สถานี INTERCHANGE รถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีเขียว ใกล้ทางด่วนกาญจนาภิเษก เชื่อมต่อการเดินทางที่สะดวก ตอบโจทย์ได้ทั้งคนรุ่นใหม่ คนที่มีรายได้จำกัด ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ           เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน (Senakith Srinakarin - Sridan)
 เจ้าของโครงการ      เสนาดีเวลลอปเม้นท์
 แบรนด์ย่อย           เสนา คิทท์
 ราคา                   เริ่มต้น 1.3 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล              คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด            Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี            1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี             ตั้งแต่ 22.50 ถึง 44.50 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด             4 ไร่ 2 งาน 82 ตร.ว.
 จำนวนตึก                 3 อาคาร
 จำนวนชั้น                 8 ชั้น
 จำนวนห้อง               618 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค           

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน           สมุทรปราการ, บางพลี, บางบ่อ, พระประแดง
 ที่ตั้ง          สุขุมวิท 113 ตำบล สำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ สมุทรปราการ 10270

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:             ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานี(แบริ่ง - บางปู)(สำโรง), ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเหลือง, สถานี(ลาดพร้าว - สำโรง)(ศรีด่าน)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Jas Urban ศรีนครินทร์
Foodland ศรีนครินทร์
Lotus ศรีนครินทร์
Home Pro ศรีนครินทร์
Big C ศรีนครินทร์
Makro ศรีนครินทร์
Imperial world
Central Bangna
Mega Bangna
โรงเรียนเซนต์โยเซฟ บางนา
โรงเรียนนานาชาติไทย – สิงคโปร์
โรงเรียนวัดด่านสำโรง
โรงเรียนอัสสัมชัญ สมุทรปราการ
โรงเรียนเซนต์โยเซฟ ทิพวัล
โรงเรียนบางกอกพัฒนา
โรงเรียนสตรีสมุทรปราการ
โรงเรียนลาซาล
โรงพยาบาลสินแพทย์ เทพารักษ์
โรงพยาบาลศิครินทร์
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
โรงพยาบาลสำโรงการแพทย์
โรงพยาบาลไทยนครินทร์
โรงพยาบาลสมุทรปราการ

หน้า: [1] 2 3 ... 9