ติดต่อลงโฆษณา [email protected]

ผู้เขียน หัวข้อ: ส่องเส้นทาง“หงส์”-“ชุดขาว”Road to Kive  (อ่าน 41753 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Ads

  • Global Moderator
  • *****
  • กระทู้: 3
    • ดูรายละเอียด
ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว สำหรับการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 2017-2018 ที่ปีนี้ได้คู่ชิงระหว่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แชมป์ยุโรป 5 สมัยจากประเทศอังกฤษ จะพบกับ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด เจ้ายุโรปเจ้าของสถิติมากที่สุด 12 สมัยจากประเทศสเปน

บางคนอาจจะมองว่านี่ไม่ใช่คู่ชิงในฝันและอาจจะเสียดายว่าควรที่จะเปลื่ยนจาก ลิเวอร์พูล เป็น “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค มากกว่า แต่ถ้าดูจากผลงานของทัพหงส์แดง คงตอบข้อสงสัยทุกอย่างได้หมดเปลือกว่าพวกเขาสมควรที่จะเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว

วันนี้เราย้อนไปดูเส้นทางของทั้งสองทีมกันหน่อยว่าปีนี้ พวกเขาต้องเจอกับบททดสอบอะไรบ้างก่อนที่จะผ่านเข้ามาชิงดำกัน
โดย ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ได้กลับมาเล่นในเวทียุโรปอีกครั้ง ปีนี้แม้ว่าจะมีปัญหาในช่วงปีใหม่ที่ต้องเสีย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ เพลย์เมกเกอร์คนสำคัญไปให้กับ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า

แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไร เนื่องจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แข้งใหม่ที่เพิ่งย้ายมาช่วงซัมเมอร์โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด โดยรอบแรกพวกเขาเข้ารอบมาได้ด้วยเป็นแชมป์ของกลุ่ม อีกด้วยสถิติชนะ 3 เสมอ 3 เข้ารอบ 16 ทีมไปพบกับ เอฟซี ปอร์โต้ จากโปรตุเกส scr888

การเจอกับ ปอร์โต้ นั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะสามารถบุกไปเอาชนะในเกมแรกได้ 5-0 จากแฮตทริกของ ซาดิโอ มาเน่ ก่อนที่จะกลับมาเล่นในแอนฟิลด์เสมอกันไปแบบไร้สกอร์ 0-0

การเข้ามาเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย หงส์แดง นั้นต้องเจอทีมจากอังกฤษเหมือนกันคือ “เรือใบสีฟ้า” แมนฯซิตี้ ซึ่งพวกเขาก็เสมอออกให้เห็นแล้วคือของจริง ด้วยการถล่มเอาชนะในบ้าน 3-0 ก่อนที่จะบุกไปตบถึง เอติฮัต สเตเดี้ยม อีก 2-1

ในรอบตัดเชือกหรือ 4 ทีมสุดท้าย ลิเวอร์พูล ต้องพบกับ “หมาป่า” โรม่า หนึ่งเดียวจาก อิตาลี เกมแรกเล่นในแอนฟิลด์ เอาชนะไปได้ก่อน 5-2 จากการทำคนล่ะสองประตูของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ส่วนเกมนัดที่สองบุกไปพ่ายที่ สตาดิโอน โอลิมปิโก้ 4-2 แต่ยังเข้ารอบด้วยผลสกอร์รวม 7-6 ทำให้พวกเขาหลุดเข้าไปชิงชนะเลิศในรายการครั้งแรกในรอบ 11 ปี

ทีนี้เรามาดูเส้นทางของ เรอัล มาดริด ทีมแชมป์เก่า 2 สมัย รอบแรกเสียสถิติพ่ายให้กับ สเปอร์ส ไป 1 เกม แต่ก็ยังเข้ารอบมาได้ด้วยการเป็นรองแชมป์กลุ่มเข้าไปพบกับของแข็งอย่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง จากฝรั่งเศส ที่เพิ่งซื้อ เนย์มาร์ ไปร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก

ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเกมแรกพวกเขาเปิดบ้านเอาชนะไปได้ก่อน 3-1 ตามด้วยการบุกไปอัดถึง ปาร์ค เดอ แพร็งส์ ได้อีก 2-1 กลายเป็นงานเบากว่าที่คิดเอาไว้

รอบ 8 ทีมสุดท้าย เรอัล มาดริด ต้องเจอกับ “ม้าลาย” ยูเวนตุส เกมแรกพวกเขาออกไปเยือนที่ ตูริน แต่สามารถบุกไปถล่มมาได้ 3-0 จากการทำคนเดียวสองประตูของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้

หลังจากนั้นพวกเขากลับมาเล่นในบ้านเจอ ยูเวนตุส เอาคืนด้วยการบุกมานำ 3-0 แต่ก็มีดราม่าเทพีแห่งโชคยังอยู่ฝังของพวกเขามาได้จุดโทษในช่วงทดเจ็บกลายเป็น โรนัลโด้ คนเดิมที่ซัดเข้าไป

รอบตัดเชือก เรอัล มาดริด ต้องเจอกับ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งเกมแรกพวกเขาออกไปเยือนสามารถเฉือนมาได้ 2-1 ก่อนที่จะกลับมาเล่นในรังของตัวเองเสมอกันไป 2-2 ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศด้วยผลสกอร์รวม 4-3

นี่คือเส้นทางของทั้งสองทีมของคู่ชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปีนี้ โดยจะฟาดแข้งกันที่ โอลิมปิสกี้ เนชั่นแนล สปอร์ตส์ คอมเพล็กซ์ กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน ในวันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคมนี้

ต้องรอดูกันว่าจะเป็น ลิเวอร์พูล ที่จะกลับมาผงาดบนเวทียุโรปอีกครั้ง หรือจะเป็น เรอัล มาดริด ของ ซีเนอดีน ซีดาน ที่จะทำสถิติคว้าแชมป์ 3 สมัยติดต่อกัน
ติดต่อลงโฆษณาหรือโพสต์กระทู้โฆษณาได้ที่ [email protected]